เพชรอาถรรพ์ 2 HopeDiamond น่ากลัวกว่าเดิม 2 เท่า
สมาชิกเลขที่43572 | 04 เม.ย. 54
5.7K views

 

                                                       HopeDiamond

เพชร เลอค่าอมตะเพราะเป็นอัญมณีแห่งดาวศุกร์ผู้มีมนตร์มฤตสัญชีวินี ที่สามารถชุบชีวิตใหม่ได้ตลอดกาล  

เพชรนอกจากจะ สวยงาม เป็นสิ่งล้ำค่าหายากแล้ว ยังผูกพันธ์อยู่กับความเชื่อมากมาย เพชร "โฮป"

เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน ................


เรื่องราวของเพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีชื่อว่า "hope diamond" ได้สร้างตำนานอาถรรพโด่งดังไปทั่วโลกจนมีชื่อเสียงโด่งดังแต่เดิมเพชรสีน้ำเงินดุจไพลินเม็ดนี้ถูกประดับที่ตาที่ 3 บนพระนลาฏของพระแม่กาลี ณ วิหารริมแม่น้ำ โคเลอรูน ประเทศอินเดีย ซึ่งมาได้ถูกขโมยไปไม่นานนักได้มาปรากฏอีกครั้งเมื่อ

"ชอง-แบปตีส ตาแวนีเย่" พ่อค้าเพชรชาวลอนดอนได้ซื้อเพชรเม็ดนี้มา ตามตำนานกล่าวว่าตาแวร์นีเย ป่วยตายหรือไม่ก็ถูกหมาป่ากินเพราะเพชรต้องสาปนักบวช  ของวิหารจึงตั้งคำสาปทุกคนที่มาเป็นเจ้าของเพชร แต่ในความจริงทาเวอร์เนียมีชีวิตอยู่ตามปกติจนเสียชีวิตไปเมื่ออายุ 84 ปี

ปี 1668 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซื้อเพชรจากทาเวอร์เนีย ด้วยราคา 3,000,000 แล้วนำมาเจียระไนเหลี่ยมใหม่  เพชรถูกเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) และเป็นที่รู้จักในนาม "เพชรตาแวร์นีเยสีฟ้า" (The Tavernier Blue)  เพชรสีน้ำเงินฝรั่งเศส  (The French blue) หรือเพชรสีน้ำเงินแห่งมงกุฎ  (The Blue Diamond of the Crown)  เพื่อใช้ติดกับเสื้อคลุมในงานพิธี พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระราชทานนามใหม่ให้กับเพชรว่า French Blue

ตำนานกล่าวว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีโอกาสใส่เพชรนี้เพียงครั้งเดียวก่อนจะป่วยตายด้วยโรคระบาด คนรักของพระองค์ที่ได้รับเพชรเม็ดนี้เป็นของขวัญก็ถูกขับออกจากราชสำนักในภายหลังเนื่องจากวางแผนจะวางยาพิษราชินี

พระนางมารีอองตัวเนตผู้ครอบครองเพชรเม็ดนี้สุดท้ายต้องถูกตัดพระเศียรด้วย กิโยติน และมีการกล่าวว่าเจ้าหญิงผู้ยืมเพชรเม็ดนี้มาสวมใส่บ่อยๆ ก็ถูกประชาชนรุมฆ่าตายอย่างทารุณ จากการปฏิวัติ

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมอบเพชรให้แก่มาดาม เดอ มงเตสปอง (Madam de Montespan) แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็กลายเป็นที่เกลียดชังของราชสำนัก เพชรฝรั่งเศสสีน้ำเงินนี้ ได้หายไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 หลังจากการปล้นเพชรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คลังเก็บสมบัติแห่งชาติ (The National Garde Meuble) ใน ค.ศ. 1812

ปี 1792 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส มีกลุ่มหัวขโมยบุกเข้าปล้นเพชรจากราชวังที่ปิดตายอยู่ ในระหว่างนี้เพชรถูกตัดให้เล็กลงอีกเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยที่มาจนเหลือขนาด 44.50 กะรัต

บันทึกความทรงจำของจอห์น ฟรานซิลลอน (john Francillon) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอนเขียนไว้ว่า เพชรสีน้ำเงินหนัก 45-52 กะรัตได้ปรากฏขึ้นใน ค.ศ. 1830 ที่อังกฤษ โดย เดเนียล แอเลียสัน (Denial Eligson) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอน เขาเปลี่ยนรูปแบบการเจียระไนเป็นรูปหมอนและขายให้แก่

เฮนรี ทอมัส โฮป (Henty Thomus Hope) นักการธนาคารชาวอังกฤษ ดังนั้นเพชรสีน้ำเงินจึงได้ชื่อใหม่ตามชื่อของเขาคือ เพชร     "โฮป"  เพชรถูกทำเป็นเข็มกลัด และตกทอดผ่านลูกหลานตระกูลโฮปไปอีกหลายรุ่น

*ตำนานกล่าวว่าหลังจากถูกขโมย เพชรถูกขายให้กับช่างเจียระไนเพชรในอัมสเตอร์ดัมส์ ซึ่งลูกชายของช่างที่ขโมยออกมาขายก็เกิดคลุ้มคลั่งจนฆ่าตัวตายไป ส่วนเอเรียสันนั้นถูกกล่าวว่าตกม้าตายหลังจากซื้อเพชรมาไว้ในครอบครอง

ลอร์ดฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮป (Lord Francis Pelham Clinton Hope) ซึ่งได้เป็นเจ้าของเพชรของพ่อของเขา ท้ายที่สุดแล้วกลับล้มละลายและเพชรก็ได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังเมย์ภรรยาเก่าหย่ากับฟรานซิสและใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นไปจนเสียชีวิต เธอกล่าวว่าเคราะห์ร้ายของตัวเองเป็นเพราะโฮปไดอามอนด์ แต่ในความจริงแล้ว ตระกูลโฮปหลายคนเกี่ยวข้องกับเพชรเม็ดนี้และไม่ปรากฏว่ามีใครเคราะห์ร้ายแต่อย่างไร

ปี 1901 ฟรานซิสล้มละลาย จึงขายเพชรต่อให้กับพ่อค้าเพชรในลอนดอนชื่ออดอฟล์ เวล เป็นเงิน 29,000 ปอนด์ ซึ่งอดอฟล์ก็ขายต่อให้กับไซมอน แฟรงเกล พ่อค้าเพชรชาวอเมริกาอีกที

ปี 1908 แฟรงเกลขายเพชรให้กับโซโลมอน ฮาบิบ ชาวกรีก เป็นเงิน 400,000 ดอลล่าร์

ปี 1909 ฮาบิบเอาเพชรออกขายในงานประมูลเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ และพ่อค้าเพชรโรสนัวก็เป็นผู้ซื้อไปก่อนจะขายให้กับปีแยร์ การ์ตีเย ในปี 1910 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง


* ตำนานกล่าวว่าพ่อค้าเพชรซึ่งซื้อโฮปไดอามอนด์ (ไม่มีการระบุชื่อ) ยิงตัวตาย และเจ้าของคนถัดมาเป็นเจ้าชายรัซเซีย ซึ่งคนรักที่เป็นนักร้องถูกยิงตายระหว่างการแสดง ตัวเจ้าชายเองถูกกลุ่มปฏิวัติลอบสังหาร พ่อค้าชาวอียิปต์เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถไฟ ตอนที่พ่อค้าชาวกรีกขายเพชรนี้ เขาก็กำลังจะล้มละลาย

ต่อมาปีแยร์ การ์ตีเย (Pierre Cartier) พ่อค้าเพชรชาวปารีส ได้ขายเพชรโฮปผ่านทางสุลต่านอับดุล-ฮามิด (Abdul - Hamid)

*เพชรตกเป็นของสุลต่านแห่งตุรกี อับดุล ฮามิดที่ 2 ในตอนนั้นอาณาจักรออสมันด์กำลังจะล่ม พระองค์จึงถูกเรียกว่าเป็น"ราชาที่ถูกเพชรสาป" ต่อมาอาณาจักรออสมันด์ของฮามิดล่มสลาย เพชรจึงถูกนำมาประมูลขายมาใช้หนี้ โดยปิแอร์ คาร์เทียร์เป็นผู้ได้เพชรเม็ดในปี 1950 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง และปี 1911 จึงตกแต่งเพชรขายให้กับ

วิลเลียม แมกลีน (William Mclean) คนสำคัญในวงการหนังสือพิมพ์ แล้วเพชรเม็ดนี้ก็ถูกนำไปที่สหรัฐอเมริกา แมกลีน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซื้อเพชรมาด้วยราคา 154,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภรรยาของแมกลีนต้องการให้พระทำพิธีขับไล่ผีในเพชรก่อน พิธีนี้จึงได้มีขึ้นและเธอก็ป่าวประกาศว่ามี "ฟ้าผ่าและฟ้าแลบในระหว่างพิธี" ด้วย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยสวมใส่เพชรเม็ดนี้

โชคร้ายที่ดูเหมือนคำสาปในเพชรยังคงมีอยู่ ใน ค.ศ. 1918 ลูกชายของแมกลีนอายุ 9 ขวบ หลุดรอดจากการดูแลของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกรถคันหนึ่งชนเสียชีวิต แมกลีนจึงดื่มเหล้าและหลังจากนั้นไม่กี่เดือนลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็ปลิดชีพตัวเองโดยใช้ยานอนหลับ ใน ค.ศ. 1949 หลังจากที่ภรรยาของแมกลีนเสียชีวิตแล้ว

*ตำนานกล่าวว่าแม่ของแมคลีนเสียชีวิตหลังจากซื้อเพชรมาได้ไม่นานนัก ในไม่ช้าคนใช้ 2 คนก็เสียชีวิต ตามด้วยลูกชายวัย 10 ปีของเธออีกคน หลังเหตุการณ์นี้ เอวาลินหย่าจากเอ็ดวาร์ด ซึ่งตัวเอ็ดวาร์ดเอง หลังจากป่วยมีอาการทางจิตก็เข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่นั่น ลูกสาวเพียงคนเดียวของเอวาลีนตายเนื่องจากทานยานอนหลับเกินขนาด เอวาลีนพยายามแก้เคล็ดด้วยการไปอธิษฐานในโบสถ์ แต่ก็ไม่เป็นผลและต้องเสียครอบครัวทั้งหมดไป (ในความเป็นจริง ยังมีหลานอยู่รับกรรมสิทธิ์ต่อ)

แฮรี่ วินสตัน พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮปไปด้วยราคา 180,000 ดอลล่าร์ เพื่อนำไปเพิ่มชุดสะสมส่วนตัวของเขา โดยเขามักจะพกเพชรไว้ในกระเป๋าเมื่อเขาตัดสินใจ เรื่องใดเขาจะ ล้วงกระเป๋าที่มีเพชรเป็นประจำ และเขามักจะโชคดีอยู่เสมอ

 

ใน ค.ศ. 1958 เอดนา วินสตัน (Edna Winston) ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้แก่สถาบันสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน  น่าประหลาดว่า เขาส่งมันทางไปรษณีย์ธรรมดา โดยจ่ายค่าประกันเพียง 160 ดอลล่าร์ แล้วทำพิธีส่งมอบภายหลังโดยไม่ยอมสัมผัสมันอีกเลย ละมอบให้เป็นสมบัติของชาติ  ตำนานเพชรอาถรรพ์จึงสงบลงตั้งแต่นั้นมา  

ไขปริศนาแห่งความโชคร้าย 

ตามหลักโหราศาสตร์แล้ว เพชร เป็นอัญมณีแห่งดาวศุกร์ ผู้เป็นคุรุแห่งอสูรเจ้าแห่งกิเลสตัณหาทั้งปวง แต่เพชรมีสีน้ำเงินประกอบเป็นอัญมณีแห่งดาวเสาร์ อันหมายถึงโทษ ทุกข์  เมื่อนำเพชรนี้มาส่องด้วยแสง UV คลื่นสั้น  

                                       

 จากสีน้ำเงินจะเปลี่ยนเป้นสีแดงส้ม คือสีแห่งโกเมน ของอัญมณีราหูเจ้าแห่ง คราส-ความมัวเมาลุ่มหลง แถมยังเรืองแสงได้นานที่สุดในโลกถึง 21 วินาที เพชรเม็ดนี้มิได้มีเพียงสถานะดาวศุกร์  ยังรวมกันถึง ศุกร์ เสาร์ ราหู คือ ครบเครื่องเรื่องวงศ์อสูร  แม้ทุกคนจะรู้ดีถึงความน่ากลัวแต่ก็ยังอยากได้มันนั่นเพราะ มันยังมีดาวแห่งกิเลสตัณหาครบถ้วน

1คำถามที่ว่าทำไมบางคนไม่โดนอาถรรพณ์

 

 นั่นเพราะพวกเขาจะต้องมีตำแหน่งดาวศุกร์ที่แข็งแกร่ง และให้คุณประโยชน์กับตัว เพราะดาวศุกร์ แปลด้านอาชีพ คือ การเงิน การธนาคาร ผู้ค้าของฟุ่มเฟือย ผู้ค้าอัญมณี คนพวกนี้จะประสบความสำเร็จธุรกิจด้านนี้กันทั้งนั้น แต่พอมาถึงรุ่นลูกอาถรรพ์ก็จะกลับมาปรากฏอีกครั้ง

ดังนั้นท่านที่จะหาอัญมณีมาใส่ควรศึกษาให้ดี ก่อนถึงพื้นดวงชะตาของเราว่าดาวไหนให้คุณ  ดาวอะไรให้โทษ ถ้านำเอาอัญมณีที่มีผลดีต่อดวงชะตา ย่อมเสริมดวงให้กล้าแกร่ง  แต่ถ้านำเอาอัญมณีที่ให้ผลร้ายมาเก็บเอาไว้ในครอบครองก็จะทำให้พบแต่ความวิบัติ...........

 

แหล่งที่มา   http://www.mfuzone.com/nboard/index.php?showtopic=3231 

                www.answers.com/topic/hope-diamond-large-image

                newsdesk.si.edu/photos/nmnh_Hope_Diamond.htm

                http://blog.school.net.th/blogs/natapon06301.php/2009/02/12/hope-diamond

                http://muangthai.com/board/index.php?topic=18.0

Share this