มินามาตะ เรื่องราวที่มากกว่าโรคร้าย ภาค 6
การถูกผลักให้สู้
การตกลงรับข้อเสนอของโรงงานเมื่อช่วงสิ้นปี 2502 ทำให้ครอบครัวของผู้ป่วยต่างอยู่ในความเงียบ พวกเขาไม่ประท้วงหรือออกมาเรียกร้องอะไรอีกเลย แม้จะไม่พอใจที่บริษัทไม่ได้จริงใจในการให้ความช่วยเหลือตามข้อตกลง ในขณะที่โรงงานยังคงปล่อยน้ำเสียตามเดิม
ยิ่งคณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคุมาโมโตประกาศในปีถัดมาว่า โรคมินามาตะหยุดระบาดแล้ว โดยที่แพทย์ต่างๆ ก็ยอมรับข้อสรุปนี้ ขณะที่จำนวนผู้ป่วยก็ลดลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากไม่กล้าเปิดเผยตัวเพราะกลัวจะตกเป็นเหยื่อของการรังเกียจและการกีดกันทางสังคม ช่วงเวลาต่อมาจึงกลายเป็นยุคแห่งความเงียบของโรคมินามาตะ ซึ่งยาวนานต่อเนื่องถึง 9 ปี
จวบจนกระทั่งรัฐบาลประกาศยอมรับว่าโรคมินามาตะเป็นโรคมลพิษที่เกิดจากน้ำเสียของโรงงาน กลุ่มผู้ป่วยจึงถือโอกาสนี้เปิดศักราชการต่อสู้เรียกร้องครั้งใหม่ มีการเจรจากันระหว่างบริษัทชิสโสะกับสมาคมช่วยเหลือครอบครัวและผู้ป่วยโรคมินามาตะในประเด็นค่าเสียหาย โดยข้อเรียกร้องคือ ให้ชิสโสะจ่ายค่าชดเชยสำหรับผู้ป่วยที่เสียชีวิตเป็นจำนวนเงิน 13 ล้านเยน และ 6 แสนเยนต่อปีสำหรับผู้ป่วย แต่ทางชิสโสะปฏิเสธ
กลุ่มผู้ป่วยจึงเรียกร้องไปยังกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการให้ดำเนินการกำหนดมาตรฐานการชดเชยความเสียหาย แต่ทางกระทรวงกลับตอบสนองด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยปัญหาเรื่องเงินชดเชยระหว่างบริษัทชิสโสะกับกลุ่มผู้ป่วยในเดือนกุมภาพันธ์ 2512 เรียกว่า ”คณะกรรมการไกล่เกลี่ยค่าชดเชยโรคมินามาตะ”
ทางกระทรวงขอให้ตัวแทนฝ่ายผู้ป่วยทำจดหมายเพื่อให้คำมั่นต่อรัฐบาลว่า พวกเขาจะยอมรับการตัดสินใจทั้งหมดที่คณะกรรมการชุดนี้กำหนดอย่างไม่มีเงื่อนไข ปรากฏว่าเงื่อนไขนี้เองทำให้กลุ่มผู้ป่วยแตกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มหนึ่งยินดีให้รัฐบาลเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย แต่อีกกลุ่มหนึ่งยืนยันขอเจรจาตรงกับบริษัท เนื่องจากไม่เชื่อใจรัฐบาลและบริษัทอีกแล้ว ภายหลังจากที่ได้รับบทเรียนเมื่อครั้งทำสัญญาเรื่องการจ่ายเงินทำขวัญ
แล้วในวันที่ 10 เมษายน ผู้ป่วยกลุ่มแรกจำนวน 54 ครอบครัวก็ทำจดหมายตอบรับข้อเสนอและข้อผูกพันตามคณะกรรมการไกล่เกลี่ย ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มหลังพยายามเรียกร้องให้ชิสโสะเปิดการเจรจา แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ในที่สุดผู้ป่วยกลุ่มนี้ซึ่งมีจำนวน 112 คน จาก 29 ครอบครัว นำโดยวาตานาเบ เอโซะ ก็ตัดสินใจร่วมกันฟ้องศาลชั้นต้นคุมาโมโต เพื่อเรียกค่าชดเชยจากบริษัทชิสโสะ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ปีเดียวกันนั้นเอง