สำหรับวันที่ 2 เราวางแผนว่าจะตื่นกันสายหน่อย ออกเที่ยวซัก 10 โมง หาของกินแถว ๆ ที่พัก แล้วไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Aljunied ไปลงที่สถานี HarbourFront ห้าง Vivo City แล้วเดินออกจากห้างต่อไปอีกนิด เพื่อไปขึ้น Cable Car ที่ตึก Harbor Front Tower 2 ซึ่งถ้าซื้อตั๋วมาแล้ว สามารถขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 15 เพื่อขึ้น Cable Car ได้เลย แต่ถ้ายังไม่มีสามารถซื้อได้ที่จุดขายตั๋วด้านล่าง ซึ่งแม่แหม่มได้ซื้อตั๋วมาแล้วจากร้าน Sea Wheel Travel ซึ่งเป็นตั๋วที่สามารถใช้ขึ้น Cable Car ข้ามเกาะไป Sentosa (ไป – กลับ) และ Cable Car ที่มีอยู่ภายในเกาะได้ด้วย ส่วนตั๋วสวนสนุก Universal Studio จะเป็นแบบเหมาเล่นทั้งวัน ไม่จำกัดเครื่อง ไม่จำกัดรอบ ซึ่งแม่แหม่มซื้อจากเมืองไทยมาในราคาที่รวมกับตั๋ว S.E.A. Aquarium ราคาอยู่ที่ประมาณ 2,000 กว่าบาทต่อ 1 ใบ (เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ไม่เสียค่าเข้า)
เมื่อเราลง Cable Car จะมีป้ายบอกทางให้เราเดินไปที่ป้ายรถซึ่งเป็นรถบัสที่ให้บริการฟรีบนเกาะ Sentosa ซึ่งจะแวะตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่จุดที่เราจะไปลงก็คือ Resort World Sentosa ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น Universal Studio / S.E.A. Aquarium / ห้าง FestiveWalk
เมื่อลงรถบัสบริเวณชั้นใต้ดินแล้วขึ้นบันไดเลื่อนมา ก็จะเป็นโซนของสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ ๆ กัน เดินมาสักพักเราก็จะเห็นลูกโลก Universal Studio ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คที่ใคร ๆ ก็ต้องมาถ่ายรูป วิธีถ่ายรูปให้ออกมาสวยก็คือ รอให้คำว่า Universal Studio หมุนมาที่เราเสียก่อน ซึ่งอาจต้องใช้ทั้งจังหวะและการแย่งชิงกันเล็กน้อย เพราะคนจะเยอะมาก เมื่อเดินมาถึงจุดตรวจบัตรผ่านประตูก็ยื่นบัตรที่เรามีให้เขาสแกน แล้วเราก็พกติดตัวไว้ เข้าไปเล่นเครื่องเล่นอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ
แต่ต้องบอกก่อนนะคะจากที่แม่แหม่มไปสัมผัสมา เครื่องเล่นของที่นี่ส่วนมากจะเน้นแนวตื่นเต้น ผจญภัย ซึ่งจะเหมาะกับเด็กที่ค่อนข้างโต คือตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไป เครื่องเล่นสำหรับเด็ก 2-3 ขวบ แบบที่แสบน้อยของแม่แหม่มเล่นได้จะมีอยู่ไม่มาก ยกตัวอย่างเช่น
Madagascar: A Crate Adventure -- ล่องเรือช้า ๆ ไปตามแม่น้ำ ผจญภัยไปกับเหล่าหุ่นตัวการ์ตูนจากเรื่อง Madagascar
King Julien’s Beach Party-Go-Round -- เป็นม้าหมุนทั่วไป ตัวละครเป็นสัตว์ต่าง ๆ ในธีมฮาวาย เหมาะกับเด็กเล็ก ๆ
Shrek 4-D Adventure -- ให้เดินเข้าไปในปราสาท จะเป็นภาพยนตร์ 4 มิติ ดูเรื่องเชร็ค มีละอองน้ำ เก้าอี้ขยับได้ ซึ่งอันหลังนี้แสบน้อยทั้งตื่นเต้นและกลัวสลับกันไป เพราะพอใส่แว่น 3 มิติแล้วภาพมันจะดูเหมือนจริงมาก อย่างตอนมังกรพ่นไฟ หรือแมงมุมคลานออกมา ก็จะมีตกใจบ้าง ซึ่งแม่แหม่มก็ต้องคอยนั่งจับมือตลอดเวลา (เขาไม่อนุญาตให้เอาเด็กนั่งตักเวลาดูภาพยนตร์นะคะ ดังนั้นถ้าลูกกลัวพ่อแม่ก็จะทำได้แค่นั่งจับมือ หรือโอบลูกไว้
ส่วนที่เหลือก็เดินเล่นชิล ๆ ชมวิว ชมมาสคอตกันไป ซึ่งตัวมาสคอตต่าง ๆ ก็จะมีช่วงเวลาที่จะออกมาเดินโชว์ วันนั้นแสบน้อยไปเจอเชร็คกับเจ้าหญิงฟิโอน่า แต่นางกลัวร้องไห้ใส่ตัวมาสคอตซะงั้น สงสารตัวมาสคอต คงเสียความมั่นใจน่าดู และเพราะของเล่นส่วนใหญ่ของที่นี่จะมีแต่เด็กโต และตัวการ์ตูนต่าง ๆ แสบน้อยของแม่แหม่มก็ไม่ได้ชอบมากเหมือนตัวการ์ตูนในดิสนีย์แลนด์ เราเลยใช้เวลาอยู่ที่นี่แค่ถึงช่วงบ่าย ๆ แล้วเราก็ไปต่อที่ S.E.A. Aquarium ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ ๆ กันเลยค่ะ
S.E.A. Aquarium เป็นพิพิธภัณฑ์เรือเดินทะเลและโลกใต้ทะเล ซึ่งจะคล้ายกับของที่ Sea Life Bangkok บ้านเรา แต่ที่นี่จะมีความพิเศษในส่วนของพิพิธภัณฑ์จัดแสดงการเดินเรือทางทะเลเพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งมีทั้งนิทรรศการและการฉายภาพยนตร์เชิงสารคดี (แม่แหม่มไม่ได้เข้าไปดูนะคะ เพราะกลัวแสบน้อยจะไปป่วนรบกวนคนอื่นเขา) พอมาถึงที่นี่แสบน้อยดูจะกระปรี้กระเปร่า และตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ วิ่งจะไปดูปลาอย่างเดียว ไม่สนใจนิทรรศการอะไรทั้งนั้น
ภายในส่วนของการแสดงสัตว์น้ำนั้น ก็จะมีการแบ่งบริเวณจัดแสดงออกเป็นโซน ๆ คล้ายกับที่ Sea Life Bangkok ที่สยามพารากอนบ้านเรา แต่ที่นี่เขาก็มีความพิเศษในหลาย ๆ จุด ไม่ว่าจะเป็น อุโมงค์ทางเลื่อนที่ทำให้เรามองเห็นเหล่าฉลามต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ถัดเข้ามาก็จะเป็นตู้ปลาเล็ก ๆ หลายจุด โชว์ปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ หลากหลายสายพันธุ์ และยิ่งเดินเข้ามาก็จะยิ่งพบกับความอลังการสุด ๆ ของอควาเรี่ยมนี้มากขึ้น แต่ที่แม่แหม่มและแสบน้อยตื่นตาตื่นใจมากที่สุด ก็คงจะเป็นในส่วนของตู้แสดงแมงกะพรุน ที่มีแมงกะพรุนหลากหลายชนิด และแต่ละชนิดก็สวยงามมาก ๆ ยิ่งผิวของแมงกะพรุนกระทบกับแสงไฟในตู้จัดแสดงยิ่งสวยงามจนบอกไม่ถูก ถึงในจุดนี้จะเป็นตู้เล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตอลังการ แต่แม่แหม่มและแสบน้อยก็ประทับใจมากจริง ๆ ค่ะ
-----------------------------------------
ความสนุกของทริปสิงคโปร์ไม่ได้มีเท่านี้ ใครที่พลาดตอนแรก กดลิงค์ได้เลยค่ะ