FASTING คือ การอดอาหาร เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของเราไม่ได้รับพลังงานจากอาหารเข้าไป โดยแต่ละวันร่างกายของเราจะมีการ FASTING อยู่แล้ว นั่นก็คือช่วงกลางคืนเวลานอนหลับ หรือช่วงที่ปล่อยให้ท้องว่างเป็นเวลานาน แต่คำว่าอดอาหารใน ณ ที่นี้ หมายถึงการอดอาหารในบางช่วงเวลา ไม่ใช่การอดอาหารโดยการตัดพลังงาน เช่น งดข้าวเย็น กินข้าวเย็นน้อยลง
เนื่องจาก FASTING เป็นช่วงที่อดอาหาร มีการจำกัดเวลาไม่ให้กิน ร่างกายจึงถูกจำกัดพลังงานที่ได้รับเข้าไป เมื่อไม่ได้รับพลังงานเพิ่ม ร่างกายจึงต้องดึงพลังงานที่สะสมมาใช้ เกิดสภาวะที่เรียกว่า KETOSIS คือร่างกายเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทน เนื่องจากไม่มีแหล่งพลังงานหลักอย่างคาร์โบไฮเดรต เพราะเหตุนี้การทำ FASTING จึงลดไขมันในร่างกายได้นั่นเอง
หลังจากกินอาหารเสร็จ 0-6 ชั่วโมงแรกหลังจากกินอาหาร ร่างกายจะทำการย่อยและดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกระบวนนี้จะใช้เวลาแตกต่างกันขึ้นกับอาหารที่เรากินเข้าไป
หลังจากนั้น 6-8 ชั่วโมง สารอาหารถูกดูดซึมนำมาใช้เป็นพลังงาน เพื่อเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกายของเรา โดยสารอาหารแต่ละประเภทจะถูกดูดซึมในระยาเวลาที่แตกต่างกันไป
เมื่อผ่านไป 8-12 ชั่วโมง ร่างกายดูดซึมและนำสารอาหารจากอาหารส่วนใหญ่ไปใช้หมด จากนั้นเริ่มเข้าสู่ FASTED STATE นำเอาพลังงานสะสม (ไขมัน) จากในร่างกายมาใช้เป็นพลังงาน ช่วงนี้จึงถือว่าเป็นช่วงที่เกิดการ FASTING จริง ๆ
หากอดอาหารนานเป็นเวลา 12-48 ชั่วโมง สมองต้องใช้ GLUCOSE แต่ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพิ่มเข้ามา จึงต้องดึง GLYCOGEN จากตับมาใช้ เมื่อใช้หมด ร่างกายก็เลยผลิต KETONE BODIES ออกมาใช้เป็นพลังงานแทน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งพลังงานสมองที่สำคัญขณะอดอาหารนั่นเอง
48-72 ชั่วโมง เมื่อ FASTING เป็นเวลานานมาก ๆ ร่างกายก็จะเร่ิ่มลดระดับการใช้พลังงานลง เพื่อประหยัดพลังงาน ให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับการ FASTING เพื่อให้ร่างกายเอาตัวรอดได้
72+ ชั่วโมง ร่างกายไม่สามารถดึงไกลโคเจนมาใช้เป็นพลังงานได้แล้ว จึงใช้พลังงานจากไขมันสะสม เป็นแหล่งพลังงานหลักแทน
หากเราเข้าใจถึงกลไกที่เกิดขึ้นจากการทำ FASTING ว่าช่วยลดไขมันได้อย่างไร ก็จะทำให้เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง