โป่งก็คือดินเนื้อค่อนข้างละเอียดที่มีรสเค็ม แต่ความเค็มของมันนี้เต็มไปด้วยแร่ธาตุอาหารหลากหลายชนิด เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม แมกนีเซียม กำมะถัน ทองแดง เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน ดังนั้น มันจึงกลายเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญอีกแหล่งของสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์กินพืช เช่น กวาง วัวแดง กระทิงป่า ช้างป่า เนื่องจากพืชที่สัตว์กินเข้าไปไม่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุอย่างครบถ้วน พวกมันจึงต้องทดแทนแร่ธาตุที่ขาดด้วยการกินดินโป่งนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วโป่งซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่ฝนตกหนักและมีการชะล้างแร่ธาตุจากพื้นที่หนึ่งไปรวมตัวกันอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่งจนเกิดเป็นโป่ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนพื้นที่ราบเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 200-400 เมตร ในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดงดิบ ซึ่งโป่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมีสัดส่วนของธาตุอาหารที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ลักษณะของโป่งตามธรรมชาติแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. โป่งดิน (Dry lick) เป็นโป่งที่สัตว์มีการใช้ปากเพื่อขุดกินดินเหล่านั้น โดยเริ่มกินผิวดินก่อนและกินลึกลงไปเรื่อย ๆ แต่จะมีความลึกไม่เกิน 1 เมตร เมื่อสัตว์กินแร่ธาตุจากดินไปหมดแล้ว สัตว์จะทิ้งโป่งดินนี้แล้วไปหาโป่งใหม่แทน โป่งที่สัตว์ไม่กินแล้ว เรียกว่า โป่งร้าง
2. โป่งน้ำ (Wet licks) พบในบริเวณที่เป็นแหล่งต้นน้ำ มีน้ำซึมบริเวณโป่งและมีน้ำขังตลอดปี ทำให้สัตว์ขุดกินได้ง่าย สัตว์ส่วนใหญ่จึงมักใช้โป่งน้ำบ่อยกว่าโป่งดิน
ประโยชน์ของโป่งต่อสัตว์ป่า มีทั้งประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม สำหรับประโยชน์ทางตรง ก็คือ เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าที่กินพืช เช่น กวาง เก้ง ช้าง โดยสัตว์เหล่านี้จะกินดินจากโป่งและได้รับแร่ธาตุจากโป่ง ส่วนประโยชน์ทางอ้อม จะเอื้อต่อสัตว์ที่กินสัตว์เป็นอาหาร (Carnivores) เช่น สิงโต เสือ เป็นต้น สัตว์เหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากโป่งเพื่อซุ่มโจมตีเหยื่อที่มากินโป่ง ซึ่งสัตว์ผู้ล่าก็จะได้แร่ธาตุจากส่วนนี้ ถือว่าเป็นการถ่ายทอดพลังงานในสิ่งมีชีวิต (Energy flow) เป็นทอด ๆ