1. แม้ว่างูจะเป็นสัตว์เลื้อยคลายที่ไม่มีขา และเคลื่อนที่โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อข้างลำตัวสลับกันไปมา แต่งูบางชนิดกลับยังมีกระดูกสะโพกอยู่ และนั่นเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งพวกมันอาจเคยมี 4 ขาเหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกจิ้งจก ซึ่งเป็นญาติสนิทของพวกมันด้วย
2. วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบของกราฟเส้นตรง จากสปีชีส์สู่สปีชีส์ แต่มันเหมือนกับต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย ขณะที่สิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ก็สิ้นสุดลงด้วยการสูญพันธุ์
3. มนุษย์ส่วนใหญ่มีดวงตาสีน้ำตาล จนกระทั่งเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน เมื่อยีนตัวหนึ่งเกิดการกลายพันธุ์จากดวงตาสีน้ำตาลเป็นสีฟ้า จึงทำให้ปัจจุบันมีมนุษย์ที่มีดวงตาสีฟ้าอยู่ประมาณ 8%
4. ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ ไม่ได้กล่าวว่า มนุษย์มาจากลิง เขาเพียงแต่เขียนว่า ลิงและมนุษย์มีบรรพบุรุษร่วมกันเท่านั้น
5. นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ผมสีแดงกับผิวที่ขาวซีดของชาวยุโรปตอนเหนือนั้น เป็นวิวัฒนาการที่ตอบสนองต่อการขาดแสงแดดซึ่งวิวัฒนาการนี้นับเป็นข้อดี เพราะมันช่วยให้ชาวยุโรปตอนเหนือสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้ดีขึ้นกว่าเดิม
6. มีการรวบรวมและตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตลอด ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงกล่าวว่า วิวัฒนาการเป็นทั้งความจริงและทฤษฎี
7. จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า สีแดงนั้นช่วยลดการตอบสนองที่ไม่เป็นมิตร ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ และนั่นเป็นเหตุให้คนเรามีอาการหน้าแดงเมื่อรู้สึกอายหรือแสดงความรู้สึกเสียใจต่อการกระทำใด ๆ ออกมา
8. ย้อนกลับไปในอดีตที่มนุษย์ดูคล้ายลิงมากกว่าตอนนี้ เราทุกคนต่างมีหาง แม้แต่ปัจจุบันมนุษย์ทุกคนก็มีหางตอนที่ยังอยู่ในครรภ์ และยังคงหลงเหลืออยู่กระทั่งเราเกิด โดยถูกเรียกว่า กระดูกก้นกบ (tail bone หรือ coccyx)
9. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ฟันกราม (wisdom teeth) ซี่ในสุดที่เรามักเรียกกันว่าฟันคุดนั้น เป็นดีเอ็นเอ (DNA) ที่ยังหลงเหลือมาจากตอนที่มนุษย์กินพืชเป็นอาหารหลัก เช่นเดียวกับไส้ติ่งที่เคยเป็นที่อาศัยของแบคทีเรียดีในลำไส้ของมนุษย์ แต่ปัจจุบันเราไม่ได้ใช้งานมันแล้ว
10. มนุษย์มีดีเอ็นเอเหมือนกับกล้วยอยู่ 50%-60% นอกจากนี้เรายังมีดีเอ็นเอเหมือนกับไก่ 60% วัว 80% และชิมแปนซี 98% ด้วย
11. มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า นกวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์ โดยพวกมันสืบเชื้อสายมาจากสัตว์เลื้อยคลาน และยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจระเข้อีกด้วย
12. วิวัฒนาการของหูในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามารถสังเกตได้ผ่านฟอสซิลของปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์เลื้อยคลาน โดยภายในหูของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประกอบไปด้วยกระดูกเล็ก ๆ 3 ชิ้น ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากกระดูกขากรรไกรของปลา เมื่อเวลาผ่านไป กระดูกนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างและหน้าที่ โดยหดเล็กลงและแยกออกจากขากรรไกร ซึ่งวิวัฒนาการดังกล่าวทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีความสามารถในการได้ยินที่เหนือกว่าปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์เลื้อยคลาน
13. ประมาณ 85% ของมนุษย์ ไม่สามารถกระดิกหูหรือควบคุมกล้ามเนื้อออริคิวลาริส (Auricularis Muscles) ซึ่งอยู่บริเวณหูชั้นนอกได้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในอดีตกล้ามเนื้อส่วนนี้ช่วยให้บรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตกลุ่มไพรเมตขยับหูได้ในทิศทางต่าง ๆ เพื่อหาตำแหน่งที่มาของเสียง แต่ความสามารถนี้ได้หายไปเมื่อมนุษย์เริ่มอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและมีสังคมมากขึ้น
14. มนุษย์มีเพียงขนเล็ก ๆ เท่านั้นเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตในกลุ่มไพรเมต (Primates) อื่น ๆ ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าเป็นวิวัฒนาการเพื่อให้มนุษย์สามารถหาอาหารในน้ำตื้น ๆ ได้ง่ายขึ้น ระบายความร้อนได้เร็วขึ้น และลดจำนวนปรสิตภายในร่างกาย
15. วาฬและโลมาไม่มีขาหลัง แต่บางตัวก็มีกระดูกแปลก ๆ ชิ้นเล็ก ๆ อยู่ในบริเวณที่น่าจะเป็นสะโพกและขาหลังมาก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งพวกมันอาจเคยมีขาและบรรพบุรุษของมันก็เคยเดินได้มาก่อน