ซึ่งพ่อแม่จะต้องเรียนรู้วิธีที่จะจัดการกับภาวะนี้ เพราะถ้าพ่อแม่ที่ไม่มีความอดทนก็จะเพลี่ยงพล้ำต่อภาวะ “ลองของ” ของลูกด้วยการใช้อารมณ์หรือการลงโทษที่รุนแรง ซึ่งนอกจากจะไม่ได้เป็นการแก้ไขสถานการณ์แล้ว ยังส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์และสภาพจิตใจของพ่อแม่และลูกด้วย
โดยพฤติกรรมที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มักจะเกิดขึ้นในเด็กตั้งแต่ 2 หรือที่เรียกว่า Terrible 2 ซึ่งเป็นวัยที่เด็กเริ่มเรียนรู้และรู้เรื่องราวมากขึ้น แต่ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลของสิ่งต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นการกระทำจึงมักจะเป็นในรูปแบบของการอยากรู้ อยากลอง อาจมองคล้ายกับการท้าทายในบางครั้ง ซึ่งในช่วงวัยนี้พ่อแม่ต้องมีความเข้าใจและใช้ความอดทนในการรับมือค่อนข้างมาก เพราะถ้าพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรือปรับพฤติกรรมลูกในช่วงนี้ได้ จาก Terrible 2 ก็อาจจะกลายไปเป็น Horrible 3 ได้ เพราะเมื่อโตขึ้นพฤติกรรมเหล่านี้จะเริ่มหล่อหลอมเป็นบุคลิกที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจึงมีวิธีในการรับมือกับสภาวะเหล่านี้มาฝากกันค่ะ
ทุกครั้งที่ลูกมีภาวะของการสร้างเงื่อนไขหรือทำพฤติกรรมที่เป็นการท้าทายอารมณ์ของพ่อแม่ ขอให้พ่อแม่มองข้ามปัญหาที่อยู่ตรงหน้านั้น แต่จงมองให้ลึกไปถึงสาเหตุว่าทำไมลูกถึงต้องทำพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น เมื่อลูกกำลังหงุดหงิดและโยนข้าวของไปรอบ ๆ พ่อแม่ลองเปลี่ยนจากการดุ หรือตีลูก ไปเป็นการถามลูกด้วยนำเสียงที่นุ่มนวลว่า "ลูกเป็นอะไร ทำไมลูกถึงต้องโยนของ" การพูดคุยจะเป็นการช่วยหยุดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของลูกในขณะนั้น และดึงเขาเข้ามาสู่กระบวนการคิดและหาเหตุผล เพราะในบางครั้งการที่ลูกทำพฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะเป็นเพราะต้องการเรียกร้องให้พ่อแม่สนใจและมาเล่นด้วยเท่านั้นเอง
เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่จะต้องมีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหา หรือบอกลูกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สมควรทำเพราะอะไร เพราะเด็กในวัยนี้เริ่มมีความเข้าใจถึงเหตุผลหรือคำอธิบายง่าย ๆ ได้แล้ว พ่อแม่ควรอธิบายถึงสาเหตุที่ชัดเจนว่าสิ่งใด ควรทำ สิ่งใด ไม่ควรทำ ให้ลูกฟัง และหลีกเลี่ยงการดุหรือบังคับ เพราะลูกจะยิ่งรู้สึกต่อต้านและทำพฤติกรรมตอบสนองที่รุนแรงมากขึ้น
ในวัยนี้พ่อแม่ต้องมีความเข้าใจว่าลูกอาจจะยังควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตัวเองไม่ได้ เช่น เมื่อลูกร้องไห้อาละวาด พ่อแม่ก็จะต้องไม่ดุหรือตีลูก เพราะจะยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้รุนแรงมากขึ้น แต่ควรพูดคุยกับลูก มองสบตากับลูก อธิบายถึงเหตุและผล เพื่อให้ลูกสงบลง เพราะการพูดด้วยคำพูดเชิงบวกและใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล นอกจากจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการมีพฤติกรรมที่ดีแล้ว ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกมีความพยายามในการควบคุมตัวเองได้มากขึ้นด้วย
สุภาพรรณ ศรีสุข (ครูแหม่ม)
ที่ปรึกษาวิชาการ โรงเรียนศิลปพัฒนาการสมองเด็ก K.D.S.