Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ผีมีจริงหรือไม่

Posted By sanomaru | 31 ต.ค. 60
21,324 Views

  Favorite

ความเชื่อบางอย่างมาจากสังคม ค่านิยม และวัฒนธรรมที่หล่อหลอม ซึ่งแต่ละภูมิภาคบนโลกใบนี้อาจมีความเชื่อที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับเรื่องผีแล้ว ดูเหมือนจะเป็นความเชื่อที่เป็นสากล เพราะไม่ใช่เพียงแค่คนไทยเท่านั้น แต่ฝรั่งต่างชาติก็เชื่อเรื่องผี และมีเรื่องราวเล่าขานเช่นเดียวกัน

 

โดยในปี 2014 สหราชอาณาจักรได้ทำการสำรวจและพบว่า ผู้คนจำนวนถึง 52% มีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงเรื่องผี และในปี 2015 ก็มีการสำรวจโดย Chapman University และพบว่ามากกว่า 40% ของชาวอเมริกันเชื่อเรื่องผี บางคนยังอ้างว่าเคยพบเห็นมาแล้วด้วย

 

สำหรับเรื่องราวของผี เรามักรับรู้และได้ผ่านหูผ่านตาจากภาพยนตร์ ละคร ตลอดจนรายการต่าง ๆ ทางโทรทัศน์ หรือแม้แต่เรื่องเล่าทางวิทยุ ที่มีการนำเสนอเรื่องราวความเชื่อ ประสบการณ์ตรง และการพาไปพิสูจน์ แต่จนถึงวันนี้ ผีก็ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือและไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศมีบรรดาผู้คนที่ต้องการจะค้นหาความจริงเกี่ยวกับผี และพยายามพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ พวกเขาเรียกตนเองว่า นักล่าผี (Ghost Hunters) ซึ่งมักตามล่าหาความจริงโดยใช้อุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ ในการตรวจจับสัญญาณหรือพลังงาน เช่น เครื่องตรวจรังสี เครื่องตรวจจับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่องตรวจจับโลหะเหล็ก กล้องอินฟราเรด และไมโครโฟนคุณภาพสูง แต่ก็ยังไม่มีอุปกรณ์ชนิดใดที่แสดงให้เห็นว่า ตรวจจับผีได้จริง หรือผีมีจริง เนื่องจากสิ่งที่ตรวจจับได้ก็คือสัญญาณหรือพลังงานบางอย่างเท่านั้น

ภาพ : Shutterstock

 

นอกจากนักล่าผีแล้ว ยังมีนักวิจัยที่ทำวิจัยเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับอย่างผีโดยเฉพาะด้วย ซึ่งเขาเรียกตนเองว่า นักสังเกตการณ์สิ่งเหนือธรรมชาติ (paranormal investigator) เขาไม่ได้พยายามจะโต้แย้งหรือสนับสนุนว่าผีมีจริง แต่เขาพยายามอธิบายเรื่องของผีด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่าง

 

ยกตัวอย่างการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น นักประสาทวิทยาที่ทำการศึกษาผลกระทบจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ต่อการรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า เมื่อคนเราได้รับการกระตุ้นด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มองไม่เห็น จะทำให้รู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างหรือใครบางคนอยู่ในห้องด้วย แม้ในความเป็นจริงจะอยู่คนเดียวก็ตาม เนื่องจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามีผลต่อการทำงานในรูปแบบปกติของสมองส่วน temporal lobes ซึ่งอยู่บริเวณขมับทั้งสองข้าง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินและดมกลิ่น ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนยังพบว่า สถานที่ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับความเฮี้ยนจะมีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่อย่างผิดปกติ

 

คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ข้อต่อไปก็คือ ความจริงเกี่ยวกับคลื่นเสียงความถี่ต่ำ (Infrasound) ซึ่งเป็นระดับเสียงที่มนุษย์ไม่ได้ยิน แต่สัตว์บางชนิดอาจจะได้ยินได้ โดยคลื่นเสียงนี้จะทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่สบายตัว สับสน อึดอัด หดหู่ เย็นวาบ ไปจนถึงความรู้สึกที่ว่ามีใครอีกคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ นอกจากนี้คลื่นเสียงความถี่ต่ำยังเเป็นสาเหตุให้เกิดภาพหลอน จากการที่มันสามารถสะท้อนโครงสร้างภายในดวงตา ซึ่งทำให้เกิดการสั่นสะเทือน จนดวงตาเริ่มมองเห็นภาพหลอนหรืออะไรบางอย่างที่อาจจะไม่ได้มีอยู่จริง

 

ตัวอย่างในกรณีนี้ คือ นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาผลกระทบของกังหันลมที่ส่งคลื่นเสียงความถี่ต่ำออกมารบกวนผู้คนแถวนั้น มันเป็นสาเหตุให้ผู้คนรู้สึกกระสับกระส่าย มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือด หรือกรณีของวิศวกรคนหนึ่งที่ทำงานในห้องทดลองของบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในช่วงแรกเขาคิดว่าห้องทดลองของเขามีผีสิง เพราะมักได้ยินเสียงและเห็นบางอย่าง นอกจากนี้เขายังรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด กระทั่งท้ายที่สุดเขาก็พบว่าภายในห้องนั้นมีคลื่นความถี่ที่ 19 เฮิร์ตซ์ จากพัดลม และมันเป็นสาเหตุของอาการทั้งหมดของเขา

 

อีกงานวิจัยหนึ่งที่อธิบายถึงผีด้วยวิทยาศาสตร์ จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เป็นงานวิจัยที่ใช้เวลา 2-3 เดือนในการสำรวจบ้านผีสิงตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ นักวิจัยพบเชื้อราพิษที่เติบโตในสถานที่ที่เรียกว่าบ้านผีสิง และชี้ว่าเชื้อราบางส่วนเหล่านี้เป็นสาเหตุของการได้ยินเสียงที่น่ากลัว หรือพวกมันกระตุ้นความกลัวที่ไม่มีเหตุผลได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าเชื้อราเหล่านี้เป็นปัจจัยร่วมหรือไม่ เพียงแต่โดยปกติพวกเขาพบมันในสถานที่ดังกล่าวเท่านั้น

 

สำหรับวารสารทางการแพทย์เคยตีพิมพ์กรณีหนึ่งของครอบครัวที่รู้สึกว่ามีปรากฏการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นในบ้านเก่า ๆ ที่พวกเขาเข้ามาอยู่ พวกเขารู้สึกว่าได้ยินเสียงเฟอร์นิเจอร์เคลื่อนที่เวลาที่พวกเขาเดินไปมาในบ้าน ต่อจากนั้นก็มีเสียงแปลก ๆ เกิดขึ้นในตอนกลางคืน และพวกเขาก็รู้สึกอ่อนแรง อีกทั้งยังเหมือนกับถูกบางสิ่งบางอย่างกักขังพวกเขาไว้บนเตียงด้วย แต่ภายหลังก็พบสาเหตุของอาการและความรู้สึกแปลก ๆ เหล่านั้น ซึ่งมาจากการที่เตาภายในบ้านชำรุดและปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอไซด์ออกมา จนเป็นสาเหตุให้พวกเขาเกิดอาการภาพหลอนและหูแว่ว แต่เมื่อจัดการกับเตาเรียบร้อย ครอบครัวนี้ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

 

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมา ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่าง เราสามารถอธิบายได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ ขณะที่บางอย่างก็อาจจะยังอธิบายไม่ได้ แต่สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่าผีมีจริงหรือไม่ หรือบางทีอาจเป็นเพราะเรายังไม่สามารถให้คำนิยามที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วยซ้ำว่าผีคืออะไร ผีคือพลังงาน ก๊าซ หรือเป็นอะไรบางอย่างที่ล้ำลึกกว่าพลังงาน เพราะบางครั้งมันก็สามารถทะลุกำแพงหนา เปิด-ปิดประตู เปิด-ปิดสวิตช์ไฟ และมีความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย ที่เราได้ฟังเรื่องราวเล่าขานต่อ ๆ กันมา อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุการณ์ที่ยังอธิบายไม่ได้ วิธีพิสูจน์คงยังมีอยู่ เพียงแต่นักวิทยาศาสตร์ต้องเสาะหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ เพื่อไขปริศนาให้กับเหล่ามนุษย์ที่มีความสงสัยใคร่รู้ต่อไป

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • sanomaru
  • 17 Followers
  • Follow