ก่อนอื่นถ้าเลือดออกมากให้รีบห้ามเลือด โดยใช้ผ้าสะอาดกดแผลไว้ จากนั้นล้างแผลด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อ (Sodium Chloride 0.9% w/v) ซึ่งเป็นน้ำยาล้างแผลที่ดีที่สุด เพราะมีความเข้มข้นสมดุลกับน้ำในเซลล์ร่างกาย ไม่ทำลายเซลล์สร้างใหม่ที่แผล ไม่ทำให้แสบและระคายเคือง
สาว ๆ หลายคนเคยชินกับการใช้แอลกอฮอล์ ไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ หรือแม้แต่น้ำประปาในการล้างแผล ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง
ทางการแพทย์ใช้เช็ดผิวหนังก่อนผ่าตัดและฉีดยา ในกรณีที่เป็นแผล ใช้เช็ดทำความสะอาดรอบแผลเท่านั้น ห้ามใช้ล้างแผลเปิดโดยตรง เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำลายโปรตีนในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเนื้อตาย แผลหายช้า ทำให้แผลแสบร้อนและระคายเคืองแผล
ใช้ล้างบาดแผลเล็ก ๆ ที่ไม่สาหัสหรือลึกมากจนเกินไป เพราะมีฤทธิ์รบกวนการสมานแผล ทำให้แสบและระคายเคืองเช่นเดียวกัน ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
น้ำประปามีความเข้มข้นไม่สมดุลกับน้ำในเซลล์ร่างกายเช่นเดียวกัน ทำลายเซลล์เม็ดเลือด และเซลล์เนื้อเยื่อสร้างใหม่ รบกวนการสมานแผล นอกจากนี้การใช้น้ำประปาล้างแผลในประเทศที่ระบบน้ำประปายังไม่สะอาดเพียงพอ จะทำให้แผลติดเชื้อได้ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงค่ะ
หลังล้างแผลจนสะอาดแล้ว สังเกตลักษณะของแผล หากลึกมากหรือปากแผลกะรุ่งกะริ่ง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ถ้าแผลไม่ลึกมาก ใช้ยาโพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-Iodine 10% w/v) เช็ดบาดแผล ซึ่งในท้องตลาดมีจำหน่ายหลายยี่ห้อ หลายรูปแบบ เลือดใช้ได้ตามความสะดวก ยาชนิดนี้ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดี ควรใช้ประมาณ 1-2 วัน จนแผลเริ่มแห้ง
ล้างแผลอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และหากต้องออกไปเจอเชื้อโรคภายนอก ให้ใช้พลาสเตอร์หรือผ้ากอซปิดแผล เปลี่ยนพลาสเตอร์อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง อย่าหมักหมมไว้นานเกินไป ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อ เป็นหนอง ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะมารับประทาน
เมื่อแผลแห้งตกสะเก็ดจะมีอาการคัน ห้ามแกะ เกาเด็ดขาด ใช้เจลหรือครีมรักษาแผลเป็นที่มีขายทั่วไปในท้องตลาด หรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาบ่อย ๆ เพื่อป้องกันแผลเป็น