นิ่วในไต (Kidney stone) สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดช่วงอายุ แต่มักพบในเพศชายมักกว่าเพศหญิง เช่นเดียวกับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (Bladder stone) ซึ่งสำหรับคนไทยมักพบกระจายอยู่ทั่วประเทศแต่ค่อนข้างมากในภาคอีสานและภาคเหนือ โดยพบว่าเกี่ยวพันกับอาหารและสารอาหารที่ได้รับ นั่นคือการขาดสารฟอสเฟต ซึ่งมีมากในโปรตีน และการกินผักที่มีสารออกซาเลต (Oxalate) สูงแต่ดื่มน้ำน้อย ซึ่งเป็นพฤติกรรมการบริโภคของประชากรส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ นิ่วในไตที่ใหญ่ที่สุดที่มีการบันทึกไว้อยู่ในประเทศฮังการี โดยหนักกว่า 1 กิโลกรัม ยาว 17 เซนติเมตร กว้าง 11.86 เซนติเมตร ส่วนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะที่ใหญ่ที่สุดมีน้ำหนักถึง 1.9 กิโลกรัมหรือเกือบ 2 กิโลกรัมมีขนาดยาว 17.9 เซนติเมตร หนา 12.7 เซนติเมตรและยาว 9.55 เซนติเมตรโดยผ่าเอาออกจากตัวคนไข้ในประเทศบราซิล
ส่วนนิ่วยอดนิยมอีกชนิดคือ นิ่วในถุงน้ำดี นิ่วชนิดนี้มักจะเกิดเป็นเม็ดเล็ก ๆ แต่จำนวนมาก ไม่ได้เกาะเป็นก้อนใหญ่เหมือนนิ่วในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ ส่วนที่ร้ายแรงที่สุดเห็นจะเป็นคนไข้ในประเทศอินเดีย ซึ่งมีนิ่วในถุงน้ำดีจำนวนมากถึงเกือบ 12,000 ก้อน แต่หินต่าง ๆ ก้อนกรวดทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายในอวัยวะของเรา ไม่ได้เกิดจากการที่คนไข้กินกรวดหินดินทรายเข้าไป มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น และการกินทรายหรือกรวดก็ไม่ได้มีช่องทางเชื่อมจากระบบทางเดินอาหารให้ไปอยู่ในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ นิ่วที่เกิดในไตเป็นคริสตัลซึ่งเกิดจากการรวมตัวของแร่ต่าง ๆ ที่มีส่วนประกอบเหมือนกับปัสสาวะ
ปัสสาวะหรือยูริน (Urine) จากร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก และมีแร่ธาตุอื่น ๆ ซึ่งถูกคัดกรองออกจากระบบเลือดของเราด้วยอวัยวะที่ทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มต้นชีวิตจนวันตาย นั่นคือ ไต (Kidney) ปัสสาวะไม่ได้เป็นของเหลวทั้งหมด แต่มีส่วนที่เป็นของแข็งอยู่ 5% และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของปัสสาวะได้แก่ ยูเรีย แอมโมเนีย ซึ่งเป็นสารประกอบของไนโตรเจน น้ำตาล โซเดียม คลอไรด์ ออกซาเลต แคลเซียม ฟอสเฟท และแมกนีเซียม ยังไม่รวมกรดอะมิโนบางชนิด ฮอร์โมน ซึ่งถูกกรองออกมาด้วย
สีของปัสสาวะมีความแตกต่างกันไปตามสัดส่วนของสารประกอบ แต่ถ้าระดับของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในปัสสาวะมีมากกว่าปกติ แร่ธาตุเหล่านี้อาจจะจับตัวกันเป็นก้อนคริสตัล ซึ่งทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ ตามทางเดินปัสสาวะ อาจจะเป็นที่ไตหรือกระเพาะปัสสาวะก็ได้ มันเหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์สมัยเด็กที่คุณอาจจะเอาเกลือหรือสารส้มมาละลายในน้ำร้อน แล้วพอน้ำเย็นลงมันก็จะตกผลึก ผลึกอาจจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับปริมาณสารที่ละลายอยู่ในน้ำ และเราก็สามารถทำซ้ำให้ผลึกใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ได้ หากนำไปใส่ในสารละลายที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น มันก็จะมาเกาะพอกให้ผลึกใหญ่ขึ้น กระบวนการเดียวกันนี้เกิดขึ้นภายในร่างกายเราเช่นกัน เมื่อผลึกเกิดขึ้นในตอนแรกจะมีขนาดเล็ก แต่หากปล่อยไว้นานเข้า แร่ธาตุก็จะมาเกาะและพอกให้ผลึกใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นก้อนนิ่วขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะกินเวลาไม่กี่สัปดาห์หรืออาจจะเป็นปี ๆ ก็ได้
ปกติแล้วเราก็จะไม่รู้สึกถึงก้อนนิ่วที่อยู่ในอวัยวะต่าง ๆ จนกว่ามันจะส่งผลกระทบ เช่น มันเคลื่อนที่ไปอุดตันตามท่อส่งน้ำดี อุดที่ขั้วไต อุดที่ท่อปัสสาวะทำให้ปัสสาวะไม่ออก ก้อนนิ่วเคลื่อนที่ออกจากไตไปตามท่อนำส่งปัสสาวะอาจทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด เลือดออกปนมากับปัสสาวะ รวมถึงสัญญาณประสาทอื่น ๆ อาจผิดเพี้ยน ทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ หรือถ้ามันใหญ่มากก็อาจจะทำให้ปัสสาวะไม่ออก
ก้อนนิ่วเหล่านี้แม้ว่ามันจะค่อย ๆ พอกพูนขึ้นแต่มันไม่ได้กลมเกลี้ยง มันเหมือนกับผลึกแร่ส่วนใหญ่คือมีขอบมุมที่แหลมคมอยู่ แต่โดยปกติแล้วถ้าก้อนนิ่วไม่ได้ใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 5 มิลลิเมตร ก็จะสามารถผ่านท่อจากไตไปยังกระเพาะปัสสาวะและสามารถถูกขับออกจากร่างกายได้อย่างปกติ อย่างมากก็อาจจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ดื่มน้ำมากกว่าปกติ หรือใช้ยาบรรเทาความเจ็บปวดเข้าช่วยโดยการทำให้กล้ามเนื้อโดยรอบผ่อนคลายในระหว่างที่ก้อนนิ่วถูกขับออกมา หรือใช้ยาละลายก้อนนิ่วเพื่อทำให้มันเล็กลงและผ่านออกมาได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ การดื่มน้ำอย่างพอเหมาะ งดเว้นหรือระวังการกินอาหารที่มีสารออกซาเลตสูงอย่างเช่น มันฝรั่ง ผักโขม หัวบีท ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วไปได้มาก
ภาพปก : Shutterstock