Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

คอร์ติซอลและอะดรีนาลิน ฮอร์โมนเพิ่มความแข็งแกร่ง

Posted By Plook Creator | 21 ส.ค. 60
9,619 Views

  Favorite

หากคุณต้องการความแข็งแรง แข็งแกร่ง การฝึกฝนร่างกายเพื่อเผชิญกับศัตรูหรือเกมส์การแข่งขัน อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำและเห็นผลได้จริงทางกายภาพ รูปร่างและกล้ามเนื้อพัฒนา ความสามารถที่พัฒนาขึ้น หรือแม้แต่ไหวพริบในการแข่งขัน กระบวนการสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายใช้เวลา ความอดทน สมาธิ และเป้าหมายที่แน่ชัด คุณไม่อาจจะกลายเป็นนักวิ่งลมกรด หรือนักยกน้ำหนักทีมชาติภายในเวลาข้ามคืน แต่มันก็มีเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อหลายครั้งที่บางคนมีพละกำลังมหาศาลในยามคับขัน สิ่งนั้นเป็นคำกล่าวอ้างเกินจริงหรือไม่


มันมีหลายกรณีที่เมื่อถึงเหตุการณ์คับขันแล้วคนเราสามารถแสดงความสามารถทางด้านกายภาพออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เช่น การแบกตู้หรือกล่องใส่ของที่มีน้ำหนักมากหนีออกจากบ้านขณะไฟไหม้ ส่วนใหญ่แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุร้าย อุบัติเหตุ หรือเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้า มันจึงไม่มีหลักฐานอะไรมากมายไปกว่าผู้ที่เห็นเหตุการณ์ หรือพยานในที่เกิดเหตุ ไม่มีแม้กระทั่งกล้องบันทึกภาพ มันจึงสร้างความสงสัยให้กับคนที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือ คุณยายจะสามารถขนของหนีไฟไหม้ได้หรือ ปกติก็แทบไม่มีแรงจะยกอะไรอยู่แล้ว หรือแม่ที่เห็นลูกกำลังจะมีอุบัติเหตุจะสามารถพุ่งไปอุ้มลูกหนีจากของที่กำลังจะตกใส่ได้อย่างรวดเร็วและรอดหวุดหวิด วิทยาศาสตร์มีคำตอบให้สำหรับข้อสงสัยเหล่านี้

ภาพ : Shutterstock


นักวิทยาศาสตร์เริ่มต้นด้วยข้อสังเกตและความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น ข้อสังเกตแรกคือเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดเป็นเหตุการณ์จริงในภาวะคับขันหรือฉุกเฉินทั้งสิ้น และมันก็ไม่ใช่ภาพยนต์หรือเกมส์ที่จะมีการเรียกยอดมนุษย์หรือซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องใดใดออกมาช่วย แต่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกายอาจจะทำให้คุณมีความสามารถมากกว่าปกติในทันที สิ่งนั้นคือฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ ที่มักจะถูกปล่อยออกมาในภาวะตึงเครียด หรือรู้สึกกลัว คอร์ติซอล (Cortisol) จะเพิ่มปริมาณกลูโคสที่มีในกระแสเลือด ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำหรับเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และอะดรีนาลิน (Adrenaline) จะเพิ่มอัตราการหายใจและการหมุนเวียนเลือดซึ่งทำให้ออกซิเจนไหลผ่านส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้นและเร็วขึ้น นั่นแปลว่ากล้ามเนื้อของคุณจะมีพลังงานและสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้มากกว่าปกติ ร่างกายเราปรับเปลี่ยนเข้าสู่ภาวะการเตรียมพร้อมสู้ ทำให้เราพร้อมกับการเผชิญหน้ากับอันตราย ทำให้เราว่องไวขึ้น รับข้อมูลรอบตัวได้มากขึ้น และช่วยให้เราใช้พลังงานมากขึ้น กล้ามเนื้อที่ได้รับอะดรีนาลีนก็จะสามารถทำงานได้มากกว่าปกติ มีความแข็งแกร่งมากกว่าปกติ การรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดจะลดลง หรืออาจจะไม่เจ็บเลยในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่ออิทธิพลของอะดรีนาลินหมดไป ความรู้สึกเจ็บปวดก็กลับมา สิ่งที่ตามมาหลังจากอะดรีนาลินลดระดับลงและพลังงานในร่างกายถูกใช้ไปในกิจกรรมช่วงนั้นคือความรู้สึกเหนื่อยอย่างมาก ร่างกายจะโหยหาพลังงานและการพักผ่อนมากกว่าปกติ


แต่เหตุการณ์และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ไม่สามารถจำลองขึ้นในห้องทดลองได้ เราไม่สามารถนำผู้ร่วมการทดลองมาเผชิญกับรถที่พุ่งมาด้วยความเร็วในห้องทดลอง พร้อมกับการทดสอบเลือด หาสารเคมีที่มีความผิดปกติในร่ายกาย หรือติดเครื่องส่งสัญญาณไว้กับส่วนต่าง ๆ ของกล้ามเนื้อในร่างกายเพื่อหาประสิทธิภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของมัน เพราะว่ามันไม่ใช่สถานการณ์คับขัน หรืออันตรายที่แท้จริงที่จะทำให้พลังงานปลดปล่อยออกมา ดังนั้น มันจึงเป็นการยากที่จะทำความเข้าใจถึงความสามารถของร่างกายภายใต้แรงกดดัน เพื่อที่จะได้รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเรา เพราะในสถานการณ์ปกติร่างกายของเราเรียนรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องให้พลังงานทุก ๆ ชิ้นส่วนของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาเพื่อที่จะเดิน หรือหยิบช้อนเพื่อรับประทานอาหาร การใช้พลังงานมากเกินไปอาจจะทำร้ายร่างกายเองได้ เช่น กรณีที่กล้ามเนื้อหดตัวอย่างรุนแรงมากเกินไป อาจจะทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบบาดเจ็บ ร่างกายเราต้องบริหารการใช้งานของส่วนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและพอเหมาะเพื่อที่จะประหยัดพลังงานมากที่สุดและปลอดภัยที่สุดไปพร้อม ๆ กัน


การเผชิญกับสถานการณ์อันตรายอาจจะทำให้ร่างกายของคุณปลดปล่อยพลังงานที่เก็บงำเอาไว้อยู่ได้ แต่มันก็ไม่น่าจะลองไปพยายามหยุดรถไฟ หรือยกรถยนต์เล่น เพื่อพิสูจน์ว่าร่างกายของคุณทำได้มากกว่าการยกน้ำหนักปกติที่ 20 กิโลกรัมที่ฟิตเนส เป็นต้น เพราะถึงตอนนี้แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ร่างกายจะมีพลังแฝงอยู่ ตามหลักฐานและการคาดเดาความน่าจะเป็น แต่มันก็ยังไม่ 100% ทั้งยังไม่มีการทดลองที่จับต้องได้ชัดเจน และถึงแม้ว่าท้ายที่สุดคุณจะสามารถเค้นเอาพลังงานออกมาได้ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ปกติแล้วคุณสามารถยกน้ำหนัก 20 กิโลกรัมได้ จะสามารถยกรถหนักหนึ่งตันเพื่อช่วยชีวิตลูกแมวน้อยที่กำลังจะโดนทับได้ เพราะคุณอาจจะเก่งขึ้นและยกได้มากกว่าเดิม แต่อาจจะเป็นเพียง 50 กิโลกรัมซึ่งก็ไม่มากพอ และอาจจะทำให้คุณเกิดอันตรายหรือบาดเจ็บเสียอีก ดังนั้นจนกว่าจะมีข้อสรุปที่เป็นตัวเลขแน่ชัด Do not try this at home อย่าไปลองทำเองที่บ้าน จะดีที่สุด

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Creator
  • 15 Followers
  • Follow