พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเครื่องประดับไทย
เครื่องประดับไทยมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานแบ่งออกเป็น ๓ สมัย คือ สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์
สมัยสุโขทัย
สมัยนี้มีช่วงเวลาประมาณเกือบ ๒๐๐ ปี นับตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๙๒ เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ที่กรุงสุโขทัย จนถึงสิ้นรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) ใน พ.ศ. ๑๙๘๑
สมัยสุโขทัยมีหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องประดับไทยไม่มากนัก ส่วนใหญ่ศึกษาจากศิลปวัตถุและภาพจิตรกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ในโบราณสถานบางแห่ง ซึ่งพออนุมานได้ว่า เครื่องประดับในสมัยสุโขทัยมีที่มาจากศิลปะของชนพื้นเมืองที่เป็นคนไทย ผสมผสานกับศิลปะขอมสมัยอาณาจักรลวปุระหรือละโว้ และศิลปะมอญสมัยอาณาจักรทวารวดี ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง เช่นเดียวกับอาณาจักรโบราณที่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว คือ อาณาจักรฟูนัน และอาณาจักรศรีวิชัย ทางภาคตะวันออกและภาคใต้ ของคาบสมุทรอินโดจีน ตามลำดับ ดังนั้น อาจสรุปลักษณะของเครื่องประดับไทย ในสมัยสุโขทัยได้อย่างคร่าวๆ เป็น ๓ รูปแบบ ดังนี้
ก. เครื่องประดับของเทวรูป
ศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลอยู่มากในราชสำนักพอๆ กับพระพุทธศาสนา ดังนั้น การสร้างเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ จึงมีการประดับตกแต่งอย่างเต็มที่ อาทิ มงกุฎ เทริด กรองศอหรือสร้อยคอ ที่ทำเป็นรูปแบบเรียบง่ายในระยะแรก ต่อมา มีการตกแต่งลวดลายให้วิจิตรงดงามมากขึ้น นอกจากนี้ก็มีพาหุรัด หรือกำไลต้นแขนที่เลียนแบบมาจากกรองศอ และมีกุณฑล หรือตุ้มหู ที่ทำเป็นแบบลูกตุ้ม ถ่วงไว้ที่ปลายใบหู
ข. เครื่องประดับของเทวดา กษัตริย์ และบุคคลชั้นสูง
มีมงกุฎ ชฎา และเทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะ โดยมีกะบังหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่บริเวณกรอบหน้า และมีกรรเจียกจอน ที่อยู่ติดส่วนล่างของกะบังหน้า ตรงบริเวณด้านหลังใบหู หากเป็นสตรีจะมีรัดเกล้า ซึ่งเป็นเครื่องประดับส่วนบนของศีรษะ แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ รัดเกล้ายอด มีปลายยอดทรงกรวยแหลม และรัดเกล้าเปลว มียอดปักช่อกระหนกเปลว นอกจากนี้ก็มีเครื่องประดับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ได้แก่ กรองศอ พาหุรัด กุณฑล ทองกร ธำมรงค์ โดยทองกรนั้นทำเป็นแหวนเกลี้ยง ๓ - ๔ วง สวมใส่ไว้ที่ต้นแขน หรือข้อมือ
ค. เครื่องประดับของสามัญชน
บุคคลที่เป็นสามัญชน ได้แก่ พ่อค้า ชาวบ้าน หลักฐานการใช้เครื่องประดับที่พบมีเพียงแค่ต่างหู เช่น บนจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย
สมัยอยุธยา
เป็นสมัยที่มีช่วงเวลายาวนานถึง ๔๑๗ ปี เริ่มตั้งแต่เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ จนถึงเสียกรุงครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐
หลักฐานที่เกี่ยวกับพัฒนาการของเครื่องประดับในสมัยอยุธยาปรากฏอยู่มากทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น กฎหมายตราสามดวง กฎมณเฑียรบาล จดหมายเหตุและบันทึกของชาวต่างชาติที่ได้เข้ามาติดต่อค้าขาย หรือเจริญสัมพันธไมตรี ตลอดจนโบราณวัตถุ จิตรกรรม และประติมากรรมในสมัยนั้น จึงทำให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องประดับไทยในสมัยอยุธยาได้ค่อนข้างมาก
เครื่องประดับสมัยอยุธยาอาจแบ่งได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ เครื่องประดับสำหรับกษัตริย์ มเหสี พระราชวงศ์ และขุนนาง ในราชสำนัก ประเภทหนึ่ง และอีกประเภทหนึ่ง คือ เครื่องประดับสำหรับบุคคลทั่วไป
ก. เครื่องประดับสำหรับกษัตริย์ มเหสี พระราชวงศ์ และขุนนางในราชสำนัก
ในสมัยอยุธยาฐานะของกษัตริย์ได้รับการยกย่องเสมือนสมมติเทพ ดังนั้น กษัตริย์ มเหสี และพระราชวงศ์ จึงมีเครื่องประดับ ที่ดูสง่างาม โดยเฉพาะในเวลามีพระราชพิธี หรือเสด็จออกขุนนาง เครื่องประดับต่างๆ มักสร้างขึ้น โดยเลียนแบบเครื่องประดับ ที่มีมาก่อนหน้านั้น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย มีการติดต่อค้าขายกับชาวเปอร์เซีย และชาวตะวันตกมากขึ้น จึงมีการนำวัสดุและวิธีการทำเครื่องประดับของชาวต่างชาติ เข้ามาผสมผสานกับการทำเครื่องประดับของไทย ให้แปลกใหม่ออกไปกว่าเดิม
เครื่องประดับสำหรับกษัตริย์ มเหสี พระราชวงศ์ และขุนนางในราชสำนัก ระบุไว้ในกฎมณเฑียรบาล มีดังนี้
ข. เครื่องประดับสำหรับบุคคลทั่วไป
นิยมใส่แหวนไว้ที่นิ้วกลาง นิ้วนาง หรือนิ้วก้อย โดยอนุญาตให้ใส่ได้มากเท่าที่จะใส่ได้ ผู้หญิงนิยมใส่ต่างหู แต่ผู้ชายไม่นิยม ต่างหูมักทำด้วยทองคำ เงิน หรือเงินกะไหล่ทอง ลูกของคนมีฐานะดีนิยมสวมกำไลข้อมือจนมีอายุ ๖ - ๗ ขวบ โดยอาจสวมกำไลต้นแขนและกำไลข้อเท้าด้วย ลูกสาวของขุนนางนิยมสวมรัดเกล้าทองคำในพิธีแต่งงานของตน
สมัยรัตนโกสินทร์
หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นสมัยธนบุรี โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชจากพม่า และทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีสืบต่อจากกรุงธนบุรี
ในสมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓ การใช้เครื่องประดับในสมัยนี้ ยังคงสืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยาในทุกๆ ด้าน จนถึงรัชกาลที่ ๔ วัฒนธรรมการใช้เครื่องประดับจึงเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการติดต่อสัมพันธไมตรีกับประเทศทางตะวันตกมากขึ้น ในสมัยนี้มีการใช้เครื่องประดับที่เรียกว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น เพื่อพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นบำเหน็จความชอบ ในราชการ หรือส่วนพระองค์ รวมทั้งพระราชทานให้แก่ประมุขของรัฐต่างประเทศ ที่มีสัมพันธไมตรีอันดีกับประเทศไทย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์มีต้นกำเนิดในทวีปยุโรป โดยสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขแห่งคริสตจักร ที่นครรัฐวาติกัน ได้ทรงสถาปนาขึ้น เพื่อประทานเป็นบำเหน็จความชอบแก่ผู้ที่เข้าร่วมในสงครามครูเสด (The Crusades) ซึ่งการสู้รบเกิดขึ้นหลายครั้ง ตั้งแต่ตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ จนถึงตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ การประทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ได้เป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆ นำไปปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย ในเวลาต่อมา
ในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ นับเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย ที่มีการจัดทำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เมื่อแรกเริ่มนั้น มีแค่ดวงตราสำหรับติดเสื้อ เรียกกันว่า "ตรา" และยังไม่มีชื่อที่ใช้เรียกอย่างเป็นทางการ โดยทรงใช้ว่า "เครื่องราชอิสริยยศ" หมายถึง เครื่องประดับของพระมหากษัตริย์ และ "เครื่องสำคัญยศ" หมายถึง เครื่องประดับสำหรับขุนนาง จนกระทั่งในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้น ใน พ.ศ. ๒๔๓๒ คำว่า "เครื่องราชอิสริยาภรณ์" จึงเริ่มใช้กันอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่นั้นมา
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประกอบด้วยดวงตราสำหรับห้อยสายสร้อย หรือสายสะพาย ดารา และเหรียญ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า จะกำหนดให้ใช้เครื่องประดับชนิดใด และในโอกาสใด จึงกล่าวได้ว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นเครื่องประดับ ที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง ในสังคมไทยปัจจุบัน
นอกจากนี้ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสประเทศในทวีปยุโรปหลายครั้ง ได้ทอดพระเนตรศิลปวัฒนธรรมของชาวยุโรป รวมทั้งการใช้เครื่องประดับต่างๆ ทำให้ศิลปะการใช้เครื่องประดับของชาวตะวันตก เริ่มแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เช่น การติดเข็มกลัดที่เสื้อผ้า การประดับตราเครื่องหมายของหน่วยงาน และองค์กร บนเครื่องแบบ รวมทั้งการจัดทำเหรียญที่ระลึกในโอกาสสำคัญ เพื่อพระราชทานแก่ข้าราชการและประชาชนทั่วไป สำหรับใช้เป็นเครื่องประดับ หรือเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ในปัจจุบันกล่าวได้ว่า เครื่องประดับที่คนไทยใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงมีความสำคัญอยู่ แต่มักนำมาใช้เฉพาะในโอกาสสำคัญๆ เท่านั้น เช่น ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเครื่องประดับตามขัตติยราชประเพณีโบราณ นอกจากนี้อาจมีการใช้เครื่องประดับ เพื่อความสวยงาม เมื่อมีการแต่งกายแบบไทย เช่น เครื่องประดับของเจ้าสาวในงานมงคลสมรส ในการประกวดเทพีสงกรานต์ การแต่งกายของนักแสดงนาฏศิลป์ ส่วนในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปนั้น มีการใช้เครื่องประดับ ทั้งในส่วนที่เป็นวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม และผสมผสานกับส่วนที่รับวัฒนธรรมมาจากชาวตะวันตก