เด็กๆ เคยเห็นคุณแม่สวมสร้อยคอ ต่างหู หรือกำไลสวยๆ ไหมคะ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเรียกว่าเครื่องประดับ ซึ่งหมายถึง สิ่งที่มนุษย์ออกแบบ สร้างสรรค์ และผลิตขึ้น เพื่อใช้ประดับตกแต่งร่างกายให้สวยงาม ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เช่น แหวน ต่างหู กำไลข้อมือ สร้อยคอ ฯลฯเครื่องประดับของแต่ละประเทศก็จะมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเชื่อ รสนิยม ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และการเมืองการปกครองแต่ละถิ่นนั้นๆ
ส่วนเครื่องประดับของไทยมีคำศัพท์ที่อธิบายความหมายอยู่ ๒ คำคือ ศิราภรณ์ หมายถึง เครื่องประดับศีรษะ และถนิมพิมพาภรณ์ หมายถึง เครื่องประดับกาย ปัจจุบันเรียกรวมกันว่า "เครื่องประดับ" เครื่องประดับของไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ในปัจจุบันมีการใช้เครื่องประดับแบบอยุธยาอยู่บ้าง แต่มักใช้กันเฉพาะในงานประเพณีสำคัญ หรือในการแต่งกายแบบไทยโบราณ และการแสดงนาฏศิลป์ นอกจากนี้ยังมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้น เพื่อพระราชทานเป็นบำเหน็จความดีความชอบแก่พระราชวงศ์ ข้าราชการ และประชาชน ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ
การผลิตเครื่องประดับนั้นเป็นการแสดงออกถึงทักษะ ความประณีตในแต่ละชนชาติ ปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องประดับได้ก้าวหน้าไปมาก มีการคิดค้นวัสดุ หรือวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้ผลิตได้เป็นจำนวนมาก และมีคุณภาพดี มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบและการผลิต ประเทศไทยนับเป็นศูนย์กลางการผลิต และส่งออกเครื่องประดับ ที่สำคัญแห่งหนึ่งในโลก และทำรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก นอกจากเป็นผู้ผลิตที่สำคัญของโลกแล้ว ยังมีตลาดการค้าภายในประเทศ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก เช่น การขายเครื่องประดับทองคำในย่านเยาวราช ร้านเพชรเก่าแก่ที่บ้านหม้อ บางรัก สีลม และร้านค้าปลีกในศูนย์การค้าต่างๆ รวมถึงตามตลาดนัด โดยมีรูปแบบและราคาแตกต่างกันไป
ความหมายและวัตถุประสงค์ในการใช้เครื่องประดับ หากจะกล่าวถึงเครื่องประดับโดยทั่วไป เด็กๆ คงนึกถึงของสวยงามที่มนุษย์ใช้ตกแต่งบนร่างกาย นอกเหนือจากเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ที่คนเราใช้อยู่เป็นประจำ เครื่องประดับมีหลายความหมาย โดยทั่วไปหมายถึง สิ่งที่มีความสวยงาม ใช้ตกแต่งประดับบนร่างกาย อีกความหมายหนึ่งของเครื่องประดับ เป็นความหมายในเชิงสร้างสรรค์ และศิลปะ หมายถึง วัตถุที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น ใช้สวมใส่บนร่างกาย มีความสัมพันธ์ต่อจิตใจ สร้างให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ทั้งต่อผู้ใส่เองและผู้ที่พบเห็น |
|
มนุษย์มีวัตถุประสงค์ในการใช้เครื่องประดับอยู่ ๓ กลุ่มใหญ่ๆ คือ เพื่อการสวมใส่ เพื่อการลงทุน และเพื่อการสะสม อาจกล่าวได้ว่า การใช้เครื่องประดับ เพื่อการสวมใส่มีความสำคัญที่สุด ซึ่งนอกจากจะใช้ประดับตกแต่งแล้ว ยังเพื่อประโยชน์ใช้สอย เช่น ในอดีต มีการใช้กระดุมทองคำรูปดอกบัวที่ถอดเก็บได้เมื่อต้องนำเสื้อไปซัก นอกจากนี้ เครื่องประดับยังเป็นสิ่งแทนความผูกพันทางจิตใจ เช่น การใช้สร้อยคอที่มีรูปภาพบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อเป็นตัวแทนความระลึกถึงบุคคลนั้น ส่วนการใช้เครื่องประดับ เพื่อการลงทุน และการสะสมนั้น มีวัตถุประสงค์ทางการค้า เป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน หรือความสุขตามรสนิยมส่วนบุคคล
เครื่องประดับไทยแต่เดิมมีคำศัพท์ที่อธิบายความหมายอยู่ ๒ คำ คือ ศิราภรณ์ หมายถึง เครื่องประดับศีรษะ และถนิมพิมพาภรณ์ หมายถึง เครื่องประดับกาย ปัจจุบันเรียกรวมกันว่า เครื่องประดับ หมายถึง เครื่องตกแต่งร่างกาย ซึ่งผลิตจากวัสดุมีค่า เช่น ทองคำ อัญมณี ที่มีความสวยงามและแสดงถึงทักษะฝีมืออันประณีต รวมทั้งแสดงออกในคติความเชื่อ และความเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมไทย นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสถานภาพของผู้สวมใส่ เช่น เป็นกษัตริย์ พระราชวงศ์ ขุนนางชั้นสูง หรือสามัญชน ซึ่งเครื่องประดับบางอย่าง ในกฎมณเฑียรบาลจะระบุไว้ว่า สามัญชนไม่สามารถสวมใส่ได้ เครื่องประดับยังสามารถใช้สวมใส่ เพื่อแสดงออกถึงความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา และความเชื่อ เช่น พระเครื่อง เครื่องรางของขลังต่างๆ
ประวัติของเครื่องประดับไทย มีความต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน โดยแบ่งออกเป็น ๓ สมัย คือ สมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์
สมัยสุโขทัย
พออนุมานได้ว่า เครื่องประดับในสมัยสุโขทัย มีที่มาจากศิลปะของชาวไทยพื้นเมือง ผสมผสานกับศิลปะขอมในสมัยละโว้ และศิลปะของมอญ สมัยทวารวดี ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง โดยสรุปอย่างคร่าวๆ ได้ ๓ รูปแบบ คือ เครื่องประดับของเทวรูป จากอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ เครื่องประดับของเทวดา กษัตริย์ บุคคลชั้นสูง และเครื่องประดับของสามัญชน
สมัยอยุธยา
มีหลักฐานปรากฏอยู่มาก ทั้งจากโบราณวัตถุ ภาพเขียน ประติมากรรม กฎหมายตราสามดวง กฎมณเฑียรบาล จดหมายเหตุ บันทึกของชาวต่างชาติที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี และค้าขายในช่วงเวลานั้น โดยแบ่งได้ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
๑) เครื่องประดับสำหรับกษัตริย์ มเหสี พระราชวงศ์ และขุนนาง
๒) เครื่องประดับสำหรับสามัญชน
สมัยรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓ ยังใช้เครื่องประดับที่สืบต่อมาจากสมัยอยุธยาทั้งหมด จนถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การใช้เครื่องประดับจึงเริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะสมัยนี้มีการติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น ที่สำคัญคือ มีพระราชดำริให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นในประเทศไทย เพื่อพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบ ในการปฏิบัติราชการแก่พระราชวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป ต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสยุโรป ทำให้มีการใช้เครื่องประดับตามอย่างชาวตะวันตกมากขึ้น เช่น การใช้เข็มกลัดติดเสื้อ การประดับเครื่องแบบ ด้วยเครื่องหมายของหน่วยงาน การจัดทำเหรียญที่ระลึกในโอกาสต่างๆ ปัจจุบันการใช้เครื่องประดับ แบบที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยานั้น ก็ยังคงมีอยู่ แต่มักใช้กันเฉพาะในโอกาสสำคัญเท่านั้น ส่วนในชีวิตประจำวัน มีการสวมใส่เครื่องประดับแบบดั้งเดิม และแบบที่ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมของชาวตะวันตก
การผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับในประเทศไทย
ประเทศไทยมีการผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับหลายประเภทคือ
๑. เครื่องประดับไทยแบบโบราณ
ในประเทศมีแหล่งผลิตอยู่หลายแห่ง เช่น เครื่องทองโบราณ ที่อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี เครื่องถม ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เครื่องเงินแบบล้านนา ที่ถนนงัวลาย จังหวัดเชียงใหม่ การทำเครื่องประดับทองคำแบบโบราณ ที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
๒. การผลิตและจำหน่ายทองรูปพรรณ
มีแหล่งค้าใหญ่ที่สุดที่ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ และมีร้านค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ
๓. การผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับที่เป็นอัญมณี
คนไทยมีฝีมือละเอียด ประณีต สามารถผลิตเครื่องประดับที่มีความงดงาม จึงทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโรงงานผู้ผลิตเครื่องประดับ ที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน ประกอบกับประเทศไทยเป็นแหล่งอัญมณี และการเจียระไนที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในโลก โดยเฉพาะพลอยทับทิมสยาม เป็นที่รู้กันว่า มีความงามไม่แพ้แหล่งใด มีการส่งออกนำเงินตราเข้าประเทศได้เป็นอันดับต้นๆ ติดต่อกันมานับสิบปี
๔. การผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับตามสมัยนิยม
มักผลิตจากวัสดุที่มีราคาไม่สูงมาก มีรูปแบบเป็นที่นิยมในช่วงเวลาสั้นๆ ตามแฟชั่น รูปร่างลักษณะเข้ากับสมัยนิยม ราคาถูก สามารถซื้อหาได้บ่อย ผู้ผลิตมีทั้งที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อการส่งออก ไปจนถึงการผลิตขนาดเล็ก ภายในครัวเรือน มีแหล่งจำหน่ายทั่วไป ทั้งในศูนย์การค้าและตามร้านค้าปลีกในตลาด