514 Viewsยุคแรก
เริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงต้นรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์รวมเป็นเวลา 017 ปี ในยุคนี้คนไทยยังไม่รู้จักการสาธารณสุขเมื่อเจ็บป่วยก็รักษาพยาบาลกันไปโดยใช้ยาแผนโบราณหรือการบีบนวดการรักษาพยาบาลแผนโบราณของไทยเรามีที่มาจากประเทศอินเดียเช่นเดียวกับอารยธรรมแขนงอื่นแต่ไม่ได้เข้ามาผสมผสานกับของจีนและความเชื่อถือดั้งเดิมของคนท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องของสมุนไพรผสมผสานกับความเชื่อถือทางไสยศาสตร์ และโชคลางผู้ที่เป็นหมอแผนโบราณได้รับความรู้โดยการฝึกสอนซึ่งอาศัยความจำเป็นหลักและถ่ายทอดกันมาในหมู่วงศาคณาญาติแต่ปิดบังอย่างมิดชิดตามวิสัยของคนไทยโบราณที่หวงวิชาจึงได้สูญหายตายตามเจ้าของตำรับไปเสียมากตำรับยาแผนโบราณครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ยังมีเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ต้นฉบับเดิมเป็นฉบับที่เขียนขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สำหรับการแพทย์การสาธารณสุขแบบยุโรปนั้นประเทศไทยได้รับมาจากอิทธิพลของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สอนศาสนาแต่ในระยะแรกการเผยแพร่ยังไปไม่ถึงชาวบ้านคงใช้อยู่ในกลุ่มผู้สอนศาสนาและข้าราชสำนัก ความจริงชาวยุโรปได้เข้ามาในประเทศไทยนานมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งมีฝรั่งมาอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนพันมีทั้งบาทหลวงพ่อค้านายช่างและทหารกับคงมีแพทย์มาด้วยเพราะปรากฏหลักฐานว่าฝรั่งได้ตั้งโรงพยาบาลขึ้นที่กรุงศรีอยุธยาแห่งหนึ่งแต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วยาฝรั่งและวิธีรักษาโรคแผนใหม่ส่วนใหญ่คงจะใช้กันอยู่ในหมู่ฝรั่งและผู้ที่ใกล้ชิดส่วนประชาชนโดยทั่วไปยังไม่รู้จักและเลื่อมใสคงรักษาตัวโดยหมอแผนโบราณตลอดยุคนี้
เรื่องราวเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บและวิธีการรักษาแผนโบราณในประเทศไทยนี้นายลาลูแบร์ (Monsieur de la Loubere) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งมาเจริญสัมพันธไมตรีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุเมื่อ พ.ศ. 2230 ว่า โรคร้ายแรงที่สุดของชาวสยามคือโรคป่วงและโรคบิดโรคป่วงคงจะหมายถึงโรคอหิวาตกโรคนอกจากนี้ก็มีโรคไข้จับสั่นคุดทะราดไข้ทรพิษและโรคผิวหนัง แต่ "หมอสยาม" ในสายตาของ ลาลูแบร์ ไม่มีความรู้ทางสรีรวิทยาการให้ยาก็ให้ตามอาการเสียเป็นส่วนใหญ่และเป็นสูตรที่จำมาจากบิดามารดาครูบาอาจารย์การรักษาใช้ทั้งการนวดและการให้ยาสมุนไพรและมีการงดของแสลงเมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคแรกนี้ไม่มีงานด้านสาธารณสุขปรากฏมากนักนอกจากจะมีคณะบาทหลวงชาวอิตาลีมาเริ่มงานสุขาภิบาลในเมืองลพบุรีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยมาช่วยวางแผนผังระบบส่งน้ำจากทะเลชุบศรเข้ามาในตัวเมืองลพบุรีซึ่งต่อมาคณะบาทหลวงทั้งชาวอิตาลีและฝรั่งเศสก็ได้ช่วยกันสร้างท่อส่งน้ำและถังเก็บน้ำนำน้ำเข้ามาใช้บางแห่งในตัวเมืองลพบุรีเป็นผลสำเร็จ