Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ความเป็นมาของการสาธารณสุขของโลก

Posted By Plookpedia | 24 เม.ย. 60
3,318 Views

  Favorite

ความเป็นมาของการสาธารณสุขของโลก

สมัยก่อนคริสตกาล

คนในสมัยโบราณรู้จักการทำความสะอาดและรักษาอนามัยส่วนบุคคลเนื่องจากเหตุผลทางศาสนาเป็นสำคัญ คือ มุ่งที่จะให้ตนเองบริสุทธิ์สะอาดในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือในการสวดมนต์ภาวนานับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นพลโลกมักจะเข้าใจกันว่าเป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าลงโทษจึงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความสามารถของมนุษย์ในการป้องกันตนเอง สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ การแยกหรือกำจัดผู้ป่วยให้พ้นจากครอบครัวและชุมชน

อย่างไรก็ดีในระหว่างศตวรรษที่ 4 และ ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลซึ่งเป็นสมัยอารยธรรมกรีกมีหลักฐานปรากฏว่า มนุษย์เรารู้จักคิดหาสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น ในระหว่างปี 503-403               ก่อนคริสตกาลพบว่าไข้จับสั่น (มาลาเรีย) มีความสัมพันธ์กับแหล่งที่มีน้ำขังในหนังสือเรื่อง "อากาศ น้ำ และแผ่นดิน" ซึ่งเขียนโดยฮิปโปคราเตส (Hippocrates) ก็มีข้อความพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างโรคภัยไข้เจ็บกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรากฐานของแนวความคิดเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บในยุคต่อมา

หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ในระหว่าง 3,000-10,000 ปีก่อนคริสตกาลปรากฏว่าชนเชื้อชาติไมนอนส์ (Minoans) และเครตันส์ (Cretans) สร้างระบบเก็บกักน้ำและระบายน้ำใช้ในท้องถิ่นของตนเองประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ปราชญ์เฮโรโดตุส (Herodotus) ได้บันทึกไว้ว่าชนชาติแรกที่ได้ชื่อว่ามีสุขภาพอนามัยดีกว่าเพื่อนในหมู่ชาติที่รุ่งเรืองอยู่ในยุคนั้น ได้แก่ ชนเชื้อชาติอียิปต์ซึ่งมีหลักฐานว่ารู้จักรักษาอนามัยส่วนบุคคลรู้จักเก็บกักน้ำ และมีท่อระบายน้ำสาธารณะ ชาวฮิบรูได้ถ่ายทอดความรู้ และการปฏิบัติ จากชาวอียิปต์ โดยปรากฏในข้อเขียนของลีวิติคุส (Leviticus) ประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นกติกาอนามัยฉบับแรกแห่งโลก กำหนดให้ประชาชนรักษาอนามัยส่วนบุคคลให้ชุมชนมีหน้าที่ช่วยกันป้องกันการระบาดของโรคติดต่อเก็บกักผู้ป่วยโรคเรื้อน
ทำลายแหล่งแพร่โรคปรับปรุงการสุขาภิบาลและส่งเสริมการอนามัยแม่การสาธารณสุขของชาวอียิปต์มุ่งที่การอนามัยส่วนบุคคลเป็นสำคัญส่วนผู้ที่อ่อนแอเจ็บป่วยหรือพิการมักจะทอดทิ้งหรือทำลายเสีย

 

สมัยจักรวรรดิโรมันที่เรียกได้ว่ามีความเจริญทางอารยธรรมเหนือกว่าชาติอื่นชาวโรมันรู้จักการสำรวจสำมะโนประชากรเบื้องต้นโดยมีกฎหมายบังคับให้มีการลงทะเบียนาษฎรและทาสกฎหมายป้องกันการเสื่อมโทรมของอาคารและสิ่งแวดล้อมกฎหมายควบคุมสถานเริงรมย์และมีระบบระบายน้ำและน้ำใช้ตลอดจนที่อาบน้ำสาธารณะ มีหลักฐานปรากฏว่าท่อระบายน้ำบางส่วนที่สร้างขึ้นสมัยก่อนคริสตกาลยังใช้อยู่ในกรุงโรมสมัยปัจจุบันโดยเชื่อมต่อเข้ากับระบบใหม่ 

สะพานสำหรับวางท่อน้ำของโรมันโบราณ
สะพานสำหรับวางท่อน้ำของโรมันโบราณ เพื่อส่งน้ำจากยอดเขาเข้ามาในเมือง
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

ยุคกลาง

ในยุคเริ่มต้นของคริสต์ศาสนาเรียกกันว่ายุคมืดแห่งการสาธารณสุขอิทธิพลทางแนวความคิดสมัยจักรวรรดิโรมันได้รับการต่อต้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการอนามัยส่วนบุคคลและการสุขาภิบาลแม้แต่การมองเพื่อสำรวจตนเองก็ถือว่าเป็นบาปชาวบ้านในยุคนี้จึงไม่สนใจต่อการชำระล้างร่างกายเครื่องนุ่งห่มก็ไม่สะอาดกล่าวกันว่าสาเหตุนี้เองที่ทำให้มีการใช้น้ำหอมในตอนปลายของยุคนี้

แผนที่แสดงการสำรวจทางบกและทางทะเล
แผนที่แสดงการสำรวจทางบกและทางทะเล
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

การทำอาหารก็เช่นเดียวกันมักจะทำอย่างง่าย ๆ ไม่พิถีพิถันและขาดคุณค่าทางโภชนาการนิยมอาหารประเภทหมักดองหรือของแห้งเป็นผลให้เครื่องเทศเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในการทำอาหารจึงได้มีการสำรวจทางบก และทางเรือเพื่อหาทางไปเสาะแสวงหาเครื่องเทศในดินแดนห่างไกล 

 

ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ศาสนาอิสลามเริ่มแผ่ไปยังทวีปแอฟริกาตะวันออกกลาง เอเชียและแถบคาบสมุทรบอลข่านและไอบีเรียก่อให้เกิดการเดินทางไปยังกรุงเมกกะอย่างมากมายเพื่อการจาริกแสวงบุญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประเทศอินเดียซึ่งในสมัยนั้นเป็นแหล่งระบาดของอหิวาตกโรคเป็นผลทำให้อหิวาตกโรคระบาดกระจายไปแทบทุกประเทศที่มีการเดินทางเพื่อการจาริกแสวงบุญ

นอกจากการเผยแผ่ศาสนาอิสลามแล้วการเดินทางของผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์จากประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปไปยังทวีปอื่น ๆ ได้ทำให้อหิวาตกโรคมีโอกาสเข้าไปฟักตัวในทวีปยุโรปและเคลื่อนที่ต่อไปยังทวีปอเมริกาในที่สุด เป็นผลให้เกิดการระบาดของอหิวาตกโรคอย่างรุนแรงหลายครั้งนอกจากนี้ยังปรากฏว่าโรคเรื้อนได้ระบาดจากอียิปต์มาสู่เอเชียไมเนอร์และไปสู่ทวีปยุโรปโดยมีสาเหตุมาจากการเดินทางเผยแพร่ศาสนาและการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชากรในยุคนั้นด้วย

 

การที่โรคเรื้อนระบาดในทวีปยุโรปเป็นผลให้มีมาตรการป้องกันการระบาดของโรคส่วนใหญ่กระทำโดยการกำจัดและทำลายล้างผู้ติดโรคหลายประเทศได้ออกกฎข้อบังคับให้ผู้ป่วยโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่แตกต่างจากคนทั่วไป แขวนระฆังไว้ที่คอเพื่อไปไหนมาไหนคนจะได้ยินเสียงและหนีทันบางแห่งถึงกับห้ามมิให้คนเป็นโรคเรื้อนเข้าไปปรากฏในชุมชน หากฝ่าฝืนจะถูกกำจัดโดยวิธีนี้ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ถูกเนรเทศออกไปก็มักจะอดตายเพราะไม่มีอาหาร และไม่ได้รับการรักษาพยาบาลแต่อย่างใดวิธีกักบริเวณและเนรเทศผู้ป่วยดังกล่าวแล้วถึงแม้จะไม่ถูกต้องตามหลักมนุษยธรรมแต่ก็ทำให้โรคเรื้อนหมดไปจากยุโรปได้ในที่สุด

แผนที่แสดงการระบาดของโรคเรื้อน
แผนที่แสดงการระบาดของโรคเรื้อน
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

หลังจากที่โรคเรื้อนทุเลาเบาบางลงเป็นลำดับกาฬโรคหรือที่ชาวโลกรู้จักกันในนามว่า "ความตายสีดำ" หรือ "black death" ก็ย่างเข้ามาในยุโรปโดยมีสาเหตุมาจากการติดต่อค้าขายระหว่างยุโรปกับดินแดนทางตะวันออกและทวีปเอเชียกาฬโรคเป็นโรคติดต่อร้ายแรงและทำลายชีวิตมนุษย์มากมายอย่างที่ไม่มีโรคใดทัดเทียมและจากการที่กาฬโรคระบาดนี้เองทำให้พลโลกมีความกระตือรือร้นในด้านการป้องกันโรคมากขึ้น

ผลพลอยได้ในแง่ของการสาธารณสุขอันเนื่องมาจากการระบาดของกาฬโรคก็คือการเริ่มจัดให้มีด่านกักโรคเพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่อที่กรุงเวนิส ใน พ.ศ. ๑๓๔๘ เรือสินค้าและผู้โดยสารที่ต้องสงสัยว่ามาจากเขตติดโรคจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นท่าเรือ ในบางแห่งเรือต้องจอดอยู่นานถึง 2 เดือนในบริเวณด่านกักโรคเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีการระบาดของโรคแสดงว่าแนวความคิดที่เกี่ยวกับระยะฟักตัวของโรคคงจะมีมานานแล้วถึงแม้ว่าความเชื่อว่าพระเจ้าและโชคลางเป็นสิ่งบันดาลความเจ็บป่วยให้เกิดแก่คนยังมีอยู่บ้างก็ตาม

สมัยก่อนคริสตกาลและยุคกลางเชื่อกันว่าโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น คอตีบ บิด ไทฟอยด์ ไทฟัส กามโรคและโรคธรรมดาสามัญอื่น ๆ คงจะมีปรากฏเช่นเดียวกันแต่ไม่ได้มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่ามากจึงทำให้โรคเหล่านี้ดูเป็นธรรมดาสามัญไป 

ที่น่าสังเกตว่าการสาธารณสุขในยุคกลางไม่มีเนื้อหาสาระใด ๆ นอกเหนือไปจากการรู้จักการกักกันผู้ป่วยการทำลายผู้ติดเชื้อโดยเริ่มเข้าใจว่าโรคติดต่อมีระยะฟักตัวและเข้าใจความจำเป็นในการจัดให้มีด่านกักโรคต่าง ๆ

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา 
ความเชื่อถือของมนุษย์ที่ว่าพระเจ้าบาปบุญคุณโทษและโชคลางเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บในยุคกลางหรือยุคมืดค่อย ๆ คลี่คลายมาสู่ความสว่างไสวในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือที่เรียกว่า "renaissance" ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาในยุคนี้มีแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางโดยปรัชญาเมธีชาวตะวันตก เช่น เดส์การตส์ (René Descartes) คูวิเยร์ (Georges Cuvier) สมิท (Adam Smith) โวลแตร์ (François Marie Arouet 'Voltaire') ดาร์วิน (Charles Robert Darwin) และอีกมากมายหลายท่านซึ่งเป็นผลให้คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 คิดถึงเหตุผลและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์โดยไม่ปล่อยให้ตนเองอยู่ใต้อำนาจเร้นลับของโชคชะตาราศีแต่เพียงอย่างเดียว

 

ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 นัก กายวิภาคศาสตร์เชื้อสายเฟลมมิชชื่อ อันเดรอัส วีซาลิอุส (Andreas Vesalius, ค.ศ. 1514-1564) ค้นพบระบบกายวิภาคศาสตร์เบื้องต้นของมนุษย์ วิลเลียม ฮาร์วีย์ (William Harvey, ค.ศ. ๑๕๗๘ - ๑๖๕๗) แพทย์ ชาวอังกฤษ ค้นพบระบบวงจรโลหิต จิโรลาโม ฟราคาสโทโร (Girolamo Fracastoro, ค.ศ. ๑๔๗๘-๑๕๕๓) แพทย์ชาวเวนิสพบว่าโรคติดต่อระบาดได้โดยมีผู้สัมผัสโรคเป็นสื่อนำนอกจากนี้ก็มีผู้ศึกษาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกล่าวได้ว่ายุคนี้เป็นระยะที่มีการวางรากฐานเกี่ยวกับการศึกษาทางกายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคอย่างไรก็ตามในยุคนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินงานทางสาธารณสุขอย่างเป็นทางการเพียงแต่เป็นความเคลื่อนไหวของนักวิชาการและชุมชนในบางท้องที่เท่านั้น

อันเดรอัส เวซาลิอุส
อันเดรอัส เวซาลิอุส
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

 

ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงปัจจุบัน

นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสาธารณสุขของโลกได้เจริญขึ้นทั้งในทางป้องกันและรักษาโดยเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner, ค.ศ. ๑๗๔๙-๑๘๒๓) แพทย์ชาวอังกฤษคิดวิธีปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษได้สำเร็จ โรเบิร์ต ค็อก (Robert Koch, ค.ศ. ๑๘๔๓-๑๙๑๐) ชาวเยอรมัน ค้นพบวิธีแยกเชื้อบัคเตรี ลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur, ค.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๙๕) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสศึกษาเกี่ยวกับเชื้อโรคและวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับยุงและแมลงที่เป็นพาหะนำโรคและหลังจากนั้นก็มีการศึกษาความเกี่ยวข้องระหว่างโรคภัยไข้เจ็บและชุมชนอย่างกว้างขวาง

รอเบิร์ต ค็อก
รอเบิร์ต ค็อก
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

ความก้าวหน้าของการสาธารณสุขเป็นผลให้อัตราการตายของพลโลกอันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ลดน้อยลงมีการสร้างโรงพยาบาลฝึกอบรมแพทย์พยาบาลและบุคลากรระดับผู้ช่วยและจัดตั้งองค์การต่าง ๆ เพื่อการรักษาพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพโดยเริ่มจากประเทศที่เจริญแล้วและเผยแพร่ต่อไปยังประเทศด้อยพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่ในระยะแรก ๆ เผยแพร่โดยผู้สอนศาสนา

 

จากความเจริญก้าวหน้าของการสาธารณสุขมาเป็นลำดับดังกล่าวแล้วเป็นผลทำให้อัตราตายของประชากรลดลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วและเนื่องจากประเทศเหล่านี้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับที่ดีประกอบกับมีอัตราการเกิดของประชากรต่ำพลเมืองไม่เพิ่มขึ้นมากนักการให้บริการสาธารณสุขจึงดำเนินการไปได้อย่างกว้างขวางทำให้พลเมืองในประเทศเหล่านี้มีสุขภาพอนามัยอยู่ในระดับที่ดีและสามารถดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้ส่วนในประเทศที่ด้อยพัฒนาและประเทศที่กำลังพัฒนาปรากฏว่าอัตราเกิดของประชากรยังคงสูงอยู่จึงทำให้จำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นรวดเร็วโดยเฉพาะหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เป็นผลให้การขยายตัวด้านบริการสาธารณสุขไม่ทันต่อความต้องการของพลเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบทแม้ว่าจะมีการก่อสร้างโรงพยาบาลและสถานีอนามัยขึ้นเป็นจำนวนมากและมีการฝึกอบรมแพทย์ พยาบาลตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ตามสุขภาพอนามัยของประชาชนในชนบทก็ยังไม่อยู่ในระดับที่สมควรจึงทำให้เกิดมีแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับการพัฒนาการสาธารณสุขและการพัฒนาชนบทขึ้นโดยเน้นหนักไปที่การส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีบทบาทและช่วยเหลือตนเองและหมู่คณะตลอดจนมีการประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนฉะนั้นการสาธารณสุขในยุคใหม่นี้จึงเป็นยุคของการสาธารณสุขมูลฐาน

 

การสาธารณสุขมูลฐานเพื่อสุขภาพอนามัยของทุกคน 

ในระยะกึ่งศตวรรษที่ผ่านมาการพัฒนาทางอุตสาหกรรมเป็นผลทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการและจากการสังเกตของบุคคลโดยทั่วไปพบว่าประชากรเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับผลจากความก้าวหน้าดังกล่าวประชากรส่วนใหญ่ในโลกยังไม่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาดังกล่าวเท่าที่ควรนอกจากนั้น ปรากฏว่าประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ยังมีความแตกต่างกันในทางเศรษฐกิจและสังคมซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพและอนามัยของประชาชนในท้องถิ่นเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรของโลกยังอยู่ในสภาพซึ่งขาดการบริการสาธารณสุขที่น่าพอใจและเป็นการถาวรประชาชนจำนวนมากในท้องถิ่นชนบทและในแหล่งเสื่อมโทรมของเมืองใหญ่ ๆ ยังขาดสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตในระดับอันสมควร อาทิเช่น ขาดที่พักอาศัยน้ำดื่มที่ปลอดภัยการศึกษาและอาหารที่จะบริโภค เป็นต้น นอกจากนั้นโรคติดต่อหลายชนิดยังคงทำลายชีวิตประชาชนเป็นจำนวนมากอยู่อัตราตายของทารกยังอยู่ในระดับสูงทารกในครรภ์จำนวนล้านไม่มีโอกาสได้รอดชีวิตลืมตามาเห็นโลกและประชาชนอีกจำนวนล้านต้องเสียชีวิตหรือพิการทุพพลภาพอันเนื่องมากจากการขาดอาหาร

องค์การอนามัยโลกได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวแล้วและได้พิจารณาเห็นว่าถ้าปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไปจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนของโลกอันเป็นการขัดกับธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกซึ่งได้กำหนดไว้เมื่อครั้งก่อตั้งองค์การฯ ที่ว่า "สุขภาพอนามัยเป็นความต้องการพื้นฐานและเป็นสิทธิมนุษยชนเบื้องต้นซึ่งประชากรทุกคนในโลกจะพึงมี" องค์การอนามัยโลกจึงได้พยายามหาทางแก้ไขโดยร่วมมือกับบรรดาประเทศสมาชิกทั่วโลกในอันที่จะพัฒนาบริการสุขภาพอนามัยให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละประเทศได้อย่างแท้จริง

 

ใน พ.ศ. 2518 สมัชชาอนามัยโลกได้พิจารณาเห็นว่าการแก้ปัญหาสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกในระยะต่อไปควรจะใช้การดำเนินงานทางสาธารณสุขมูลฐาน (primary health care) ซึ่งมีหลักการที่มีการนำเอาทรัพยากรของท้องถิ่นมาใช้ให้มากที่สุดและให้มีการร่วมมือวางแผนและในการดำเนินงานนอกจากนี้จำเป็นต้องมีการผสมผสานระหว่างแผนงานด้านสาธารณสุขกับแผนงานด้านอื่น ๆ เช่น การเกษตรและการศึกษาในการพัฒนาชนบทเป็นส่วนรวมตลอดจนให้มีการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในราคาประหยัดและเป็นที่ยอมรับของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

แผนที่โลกแสดงประเทศด้อยพัฒนา  (พื้นสีแดง)
แผนที่โลกแสดงประเทศด้อยพัฒนา (พื้นสีแดง)
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

ดังนั้น ใน พ.ศ. 2520 สมัชชาอนามัยโลกจึงได้มีมติโดยตั้งเป้าหมายทางสังคมไว้ว่าในปี พ.ศ. 2543 ประชากรทุกคนในโลกจะมีสุขภาพอนามัยที่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุขตามสภาพของเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละท้องถิ่นและได้เรียกร้องไห้บรรดาประเทศสมาชิกร่วมมือกันดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวซึ่งต่อมาใน พ.ศ. 2521 องค์การอนามัยโลกและองค์การกองทุนสำหรับเด็กของสหประชาชาติได้ร่วมกันจัดให้มีการประชุมระหว่างประเทศในเรื่องการสาธารณสุขมูลฐานขึ้น ณ เมืองอาลมาอาตาในสหภาพโซเวียตรัสเซียซึ่งที่ประชุมได้มีประกาศว่าการสาธารณสุขมูลฐานเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวและเห็นว่าการดำเนินงานสาธารณสุขมูลฐานคงจะต้องแตกต่างกันตามสภาพของแต่ละประเทศและท้องถิ่นแต่อย่างน้อยควรต้องประกอบด้วยการบริหารด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้คือ 
๑. การให้สุขศึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพอนามัยรวมทั้งวิธีการป้องกันและควบคุมปัญหาเหล่านั้น 
๒. การส่งเสริมในเรื่องอาหารและโภชนาการ 
๓. การจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยรวมทั้งให้มีการสุขาภิบาลขั้นพื้นฐาน 
๔. การอนามัยแม่และเด็กรวมทั้งการวางแผนครอบครัว 
๕. การให้ภูมิคุ้มกันโรคติดต่อที่สำคัญ ๆ 
๖. การป้องกันและควบคุมโรคที่มีอยู่ในท้องถิ่น 
๗. การรักษาพยาบาลโรคและบาดแผลที่พบได้บ่อย ๆ 
๘. การจัดหายาที่จำเป็น 

ใน พ.ศ. 2522 สมัชชาอนามัยโลกได้ผ่านมติเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกพิจารณาดำเนินการจัดทำนโยบายกลวิธีและแผนปฏิบัติการในการดำเนินงานเพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมาย "สุขภาพดีถ้วนหน้า เมื่อปีสองห้าสี่สาม" ต่อไป

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow