เพียงแค่วันเดียวจากการออกโทรทัศน์ มีสื่อเป็นสิบๆ เจ้าติดต่อเข้ามาถึงเจ้าหนูยอดนักเตะคนนี้ รวมไปถึงนักฟุตบอลทีมชาติไทยอย่าง “อุ้ม” ธีรทร บุญมาทัน บุกไปหาถึงที่พร้อมมอบรองเท้าสตั๊ดคู่ที่พึ่งใส่วันที่ได้รับแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ สมัยล่าสุดให้เป็นของขวัญ หรือกระทั่ง “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ยังอดใจไม่ไหวแชร์คลิปการเตะชนคานของเด็กน้อยรายนี้ด้วย
หรือแม้กระทั่งสโมสรในไทยลีก หลายสโมสรได้ติดต่อไปยังเจ้าหนูอัจฉริยะฟุตบอลรายนี้เป็นจำนวนมาก เพื่อหวังดูดแข้งวัย 7 ขวบผู้นี้เข้าสโมสรตั้งแต่ยังเล็ก
เมื่อขุดคุ้ยประวัติของ “น้องพี” ยิ่งทำให้เกิดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะเจ้าตัวไม่ใช่เด็กสัญชาติไทย เป็นคนเชื้อสายมอญ และไร้นามสกุล ทำให้เกิดความน่าเห็นใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
ปรากฏการ “น้องพี” ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกับวงการฟุตบอลในบ้านเรา ทำให้ผู้ใหญ่ในแวดวงหันมาสนใจฟุตบอลเยาวชนกันมากยิ่งขึ้น เด็กๆเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะพัฒนาในทุกๆระดับ เป็นการวางรากฐานก่อนที่จะพัฒนาในภายภาคหน้า เพราะเด็กในวัยแบบนี้จะสนใจและมีความมุ่งมั่นเป็นพิเศษ ถ้าเยาวชนไม่ได้รับความสนใจ โอกาสที่จะพัฒนาฝีเท้าก็จะน้อยลงตามไป ก็เป็นเรื่องที่ยากที่ฟุตบอลในระดับผู้ใหญ่จะประสบความสำเร็จ
น้องพีถือเป็นอัจฉริยะฟุตบอลคนหนึ่ง ถ้าเทียบในรุ่นหรือในวัยใกล้เคียง แต่เราจะทราบได้อย่างไรในประเทศไทยอาจมีนักเตะพันธุ์จิ๋วแบบนี้ไปแอบอยู่ตรงไหนอีกก็เป็นได้ อาจมีเป็นหลักสิบ หลักร้อย หรืออาจถึงขั้นเกินหลักหมื่นคนก็เป็นได้ ที่อาจเก่งในคนละด้านกับ “น้องพี” ทักษะในด้านอื่นไม่ว่าเป็นการความคล้องตัว ความเร็ว ความสามารถเฉพาะตัวด้านต่างๆ อาจเป็นเพราะน้องพีได้รับโอกาสในการออกรายการโทรทัศน์ ทำให้เกิดกระแสตรงใจกับท่านผู้ชมทางบ้าน
ในเมืองไทยเรามี อะคาเดมี่ฟุตบอลหลายร้อย หลายพันที่ซึ่งในแต่ละที่นั้นมีเยาวชนไล่ตั้งแต่หลักกว่าสิบ ถึงหลักร้อยราย ถ้าค้นหากันจริงๆ คงจะเจอเด็กความสามารถสูงอย่างน้องพีอีกเป็นสิบๆราย เพราะฉะนั้น “โอกาส” สำหรับเด็กๆเหล่านี้ถึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
นอกจากการโอกาสแล้ว การปลูกฝังก็เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนรุ่นจิ๋วนี้ ในปัจจุบันมีสื่อในหลายรูปแบบ สิ่งเย้ายวนที่หลากหลาย ที่เด็กน้อยเหล่าต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ในช่วงเวลาอย่างน้อย 8-9 ปีต่อจากนี้ในเส้นทางสายฟุตบอล “วินัย” คือสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องท่องและจำให้ขึ้นใจ สิ่งที่ดีในวงการฟุตบอลเราคือมี “ไอดอล” พี่ๆนักฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ประพฤติตัวให้อยู่ในเส้นทางนักฟุตบอลต่อไป คอยเป็นแรงผลักดันให้น้องๆ เจริญรอยตาม
การไปค้าแข้งต่างแดนคงเป็นความฝันของนักเตะรุ่นใหม่ รวมไปถึงเยาวชนรุ่นเล็กที่อยากล่าฝันในตรงนั้นให้สำเร็จ ก้าวตามรอยเท้าของรุ่นพี่ ล่าสุดที่เราๆได้เห็นเป็นข่าวใหญ่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กับดีลครั้งประวัติศาสตร์ของ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธุ์ในการออกไปล่าตามฝันที่แดนอาทิตย์อุทัยกับสโมสรชั้นนำในเจ ลีกอย่าง “คอนซาโดเล่ ซัปโปโร” หรือล่าสุด “สิทธิโชค ภาโส” เด็กในอะคาเดมี่สโมสรชลบุรี เอฟซีได้โกอินเตอร์อีกหนึ่งคน โดยได้ไปร่วมทีม “คาโงชิมา ยูไนเต็ด” สโมสรในเจ 3 ของญี่ปุ่น ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น
หรือถ้าย้อนกลับประมาณ 3 ปีก่อน “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ได้ก้าวไกลไปถึงสเปนกับสโมสรบนลีกสูงสุดอย่าง อัลเมเรีย ถือว่าเป็นความสำเร็จอีกหนึ่งขั้นของวงการฟุตบอลไทย
ตัวอย่างที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เติบโตขึ้นจากอคาเดมี่ฟุตบอลของไทย และก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้อย่างเต็มตัว ด้วยความมีวินัย และมุมานะของตนเอง
วงการฟุตบอลไทยถือว่าสูญเสียอัจฉริยะฟุตบอลมามากมาย เมื่อเริ่มมีชื่อเสีย ความดัง เงินทองเข้ามามาก หลงระเริงกับแสงสี ไม่ยอมซ้อมและ เคารพวินัยในตัวเอง ลืมตัวเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองไป เปรียบเสมือนพลุที่พุ่งขึ้นสวยงามบนฟ้า แต่ก็ส่องสว่างสวยงามเพียงแปปเดียวก็หายไป
หลายๆ คนพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่าไม่เชื่อเมื่อมีชื่อเสียงมากขึ้น ทั้งหยิ่ง จองหอง ทำให้บอกลาวงการนี้มากมากมาย อย่าลืมนะครับโลกทุกวันนี้มีสื่อโซเซียลเป็นสื่อกลาง หมุนเร็วยิ่งกว่าวินาทีเสียอีก
“น้องพี” ถือว่าเป็นการจุดประเด็นทำให้ผู้ใหญ่ในวงการหันมามองเยาวชนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ถ้าให้ดีกว่านี้คือควรประคับประคองเด็กๆ เยาวชนเหล่านี้ ให้ผ่านพ้นสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนเหล่านี้ และค่อยๆพัฒนาฝีเท้า ก้าวขึ้นมาเป็นดาราลูกหนังแถวหน้าของเมืองไทย
เรียบเรียงโดย : พงศกร พงศ์ธนาพาณิช