เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว เด็กไม่รู้จะเลียนแบบจากใคร จึงไม่รู้วิธีสื่อสาร เป็นที่มาของการพูดช้า หรือไม่พูด ตรงกันข้ามกับการเล่านิทานที่เป็นการสื่อสารสองฝั่งระหว่างผู้เล่ากับผู้ฟัง ลูกจะได้เรียนรู้วิธีการสื่อสารผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทั้งทางตา ทางหู การจับสัมผัส และยังฝึกการใช้จินตนาการ การมโนภาพ
การเล่านิทานให้ลูกฟังจึงเป็นวิธีการเรียนรู้ที่เร็วที่สุดและดีที่สุด
เด็กที่มีคุณภาพการพูดดี มีคำศัพท์อยู่ในหัวเยอะ เวลาอ่านหนังสือก็จะมีการเชื่อมโยงทำให้อ่านได้ดี อ่านได้สลับซับซ้อนและคิดวิเคราะห์ได้ลึกซึ้ง นอกจากนี้ขณะฟังนิทานเซลล์สมองจะมีการแตกแขนงของเส้นใยประสาท ยิ่งเส้นใยสมองเพิ่มขึ้นมาก เด็กจะยิ่งฉลาดมากขึ้น ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกฉลาดจึงควรหันมาส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้ผ่านการเล่านิทานแทนการใช้เทคโนโลยี ซึ่งควรปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็ก
1. เลือกหนังสือภาพที่มีรูปภาพใหญ่ ๆ สีสันสดใส ชื่อหนังสือและเนื้อหาภายในเล่มควรเป็นคำคล้องจองเพื่อให้เด็กจดจำได้ง่าย ติดหู มีเพลงประกอบ เพราะเด็ก ๆ ชอบเสียงเพลง หรือหนังสือที่มีพื้นผิวแปลก ๆ ให้ได้สัมผัส ก็เป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัสได้ดี
2. เวลาเล่านิทานให้เด็กฟัง ควรให้เขานั่งตักเพราะจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นปลอดภัยและมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการฟัง
3. ควรเล่าด้วยเสียงดังฟังชัด แสดงสีหน้าท่าทางให้เข้ากับเนื้อเรื่อง ใช้โทนเสียงสูงต่ำให้มีความแตกต่างกันในแต่ละตัวละคร หรือร้องเพลงประกอบ ทำเสียงสัตว์ต่าง ๆ จะทำให้เด็กรู้สึกว่าการอ่านเป็นเรื่องสนุกสนานและน่าติดตาม
4. พยายามสื่อสารกับเด็ก สร้างคำถาม เป็นการกระตุ้นพัฒนาการได้ดี
5. ให้เด็กได้เรียนรู้จากการทำซ้ำ โดยอ่านนิทานเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก
6. ลองให้เด็กได้สัมผัสหนังสือ หรือให้เปิดเล่นบ้าง ควรเลือกหนังสือที่ปลอดภัยขอบโค้งมน เพื่อปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ถึงสัมผัสจากหนังสือด้วยวิธีการของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นการกัดหรือการอม และหากเด็กทำท่าจะฉีกหนังสือ คุณพ่อคุณแม่เพียงสอนให้เขาได้เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ควรดุหรือตำหนิอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้ลูกไม่อยากจับหนังสืออีกต่อไป
เรียบเรียง : คุณแม่มืออาชีพ