ข้อใดใช้เติมในช่องว่าง ( ก ) และ ( ข ) ได้ใจความสมบูรณ์และถูกต้องตามฉันทลักษณ์
๑. กลิ่นหอมรวยริน
๒. พร้อมด้วยแสร้งว่า
๓. ประจักษ์ชัดศรัทธา
๔. เชิญชวนลิ้มรสทัศนา
๕. อนุรักษ์อาหารของไทย
ตอบ ข้อ 2 ข้อที่ ๔ และ ข้อที่ ๒
อธิบาย
ข้อที่ ๔ “เชิญชวนลิ้มรสทัศนา” เป็นข้อความที่ใช้เติมในช่องว่าง ( ก ) ได้ใจความสมบูรณ์และถูกต้องตามฉันทลักษณ์เพราะกาพย์ฉบัง ๑๖ มีข้อบังคับดังนี้ ในบทหนึ่งมี ๑๖ คำแบ่ง
เป็นวรรคได้ ๓ วรรค วรรคที่หนึ่ง มี ๖ คำ วรรคที่สอง มี ๔ คำ และวรรคที่สาม มี ๖ คำ การสัมผัสคำสุดท้ายของวรรคที่หนึ่ง ไปสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สอง
ส่วนคำสัมผัสร้อยบทหรือสัมผัสเชื่อมบทนั้นให้คำสุดท้ายของบทที่หนึ่งไปเชื่อมสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่หนึ่งของบทถัดไป ดังนั้นวรรคที่ ๓ จึงเติมคำว่า “เชิญชวนลิ้มรส
ทัศนา” เพื่อให้คำสุดท้ายของบทที่ ๑ (นา)ไปเชื่อมสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ (ปลา)ของบทถัดไป
ข้อที่ ๒ “พร้อมด้วยแสร้งว่า” เป็นข้อความที่ใช้เติมในช่องว่าง ( ข ) ได้ใจความสมบูรณ์และถูกต้องตามฉันทลักษณ์เพราะเป็นวรรคที่ ๒ ที่กำหนดให้มี ๔ คำ และกำหนดให้การ
สัมผัสคำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ (ปลา)ไปสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ (ว่า ) ดังนั้นจึงได้ว่า “มัสมั่นยำใหญ่ไตปลา พร้อมด้วยแสร้งว่า”
ตัวลวง
อธิบาย
ข้อ ๑ “กลิ่นหอมรวยริน” เป็นข้อความที่ไม่สามารถใช้เติมในช่องว่าง (ก) เพราะมีจำนวนคำในวรรคที่ ๓ ไม่ครบ ๖ คำตามลักษณะบังคับของกาพย์ฉบัง ๑๖ และไม่สามารถใช้เติมใน
ช่องว่าง (ข) เพราะมีสัมผัสระหว่างวรรคไม่ถูกต้อง
ข้อ ๓ “ประจักษ์ชัดศรัทธา” เป็นข้อความที่ไม่สามารถใช้เติมในช่องว่าง (ก) เพราะมีจำนวนคำในวรรคที่ ๓ ไม่ครบ ๖ คำตามลักษณะบังคับของกาพย์ฉบัง๑๖ และไม่สามารถใช้เติม
ในช่องว่าง (ข) เพราะมีจำนวนคำในวรรคที่ ๒ เกิน ๔ คำ
ข้อ ๕ “อนุรักษ์อาหารของไทย” เป็นข้อความที่ไม่สามารถใช้เติมในช่องว่าง (ก) มีจำนวนคำในวรรคที่ ๓ เกิน ๖ คำ และไม่สามารถใช้เติมในช่องว่าง (ข) เพราะมีจำนวนคำใน
วรรคที่ ๒ เกิน ๔ คำ