บรรยากาศการ workshop ครั้งนั้นเป็นกันเองมาก ๆ ประทับใจมากค่ะ คุณชุน เจ้าของแบรนด์ Natural Teller เล่าถึงที่มาของน้ำหอม รวมไปถึงเทคนิคต่าง ๆ ของการเป็น Perfumer ไว้มากมาย เลยถือโอกาสมาอัพเดทให้ทุกคนอ่านกันบ้าง ถือว่าแบ่งปันความรู้กันค่ะ
ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักก่อนว่า น้ำหอม มีพื้นฐานกลิ่นอยู่ 3 ระดับ คือ ท็อป มิดเดิ้ล และเบส ซึ่งแต่ละระดับมีความสำคัญแตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ
เป็นกลิ่นแรกที่เข้ามาปะทะจมูกเรา สังเกตง่าย ๆ ว่าเวลาเราฉีดน้ำหอมปุ๊บ กลิ่นที่ลอยมาแตะจมูกเราปั๊บ นั่นคือกลิ่นท็อปค่ะ แต่กลิ่นท็อปจะอยู่แปบเดียว ประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็จะจางหายไป กลิ่นนี้โมเลกุลจะค่อนข้างเล็ก จึงกระจายตัวได้ดี แต่พอกระจายตัวดี กลิ่นก็จางไวไปด้วยเช่นกัน
เมื่อท็อปโน้ตจางหายไป กลิ่นต่อไปที่จะแสดงตัวออกมาคือมิดเดิ้ลนี่ล่ะค่ะ เพราะมีโมเลกุลขนาดกลาง ๆ กลิ่นจึงคงอยู่ได้นานกว่าท็อป ส่วนใหญ่มักเป็นกลิ่นสมุนไพร และเข้ากันได้ดีกับเบสโน้ตค่ะ
เป็นกลิ่นที่แท้ทรูของน้ำหอมขวดนั้น ๆ เพราะจะเป็นกลิ่นที่อยู่คงทนที่สุด นานที่สุด แต่ก็เป็นกลิ่นที่อ่อนที่สุดเช่นกัน เพราะมีโมเลกุลขนาดใหญ่ เป็นกลิ่นเข้ม ๆ ลึก ๆ ส่วนใหญ่เป็นกลิ่นใบไม้ หรือพืชต่าง ๆ
นี่แค่ข้อมูลเบื้องต้นเองนะคะ นั่งฟังยังอึ้งเลย เพราะไม่คิดว่า น้ำหอมขวดนึง จะเกี่ยวข้องกับการผสมผสานโมเลกุลสิ่งต่าง ๆ ด้วย
คุณชุนเล่าเพิ่มเติมว่า กว่านักผสมน้ำหอมจะผสมน้ำหอมออกมาได้ 1 ขวด ต้องใช้หัวน้ำหอมกว่า 100 ชนิด นำมาผสมผสานกันเพื่อให้เกิดกลิ่นที่สมดุล หอมนาน และตรงตามคอนเซปที่วางไว้มากที่สุด แต่พอได้กลิ่นที่พอใจแล้วจะนำไปใช้เลยไม่ได้นะ ต้องหมักไว้ 1-2 เดือนก่อน เพื่อให้โมเลกุลของกลิ่นต่าง ๆ กลมกลืนจนเข้ากัน นั่นล่ะ จึงจะมั่นใจได้ว่าได้กลิ่นที่พอใจรึยัง
เมื่อรู้พื้นฐานของกลิ่นแล้ว ต่อไปเรามาดูประเภทของน้ำหอมกันต่อค่ะ คุณชุนบอกว่า จำเป็นมากที่เราควรแยกให้ออกว่า Perfume, Cologne หรือ Toilette แตกต่างกันยังไง เพื่อจะได้ผสมได้ถูกต้องตามที่เราต้องการค่ะ
Perfume : คือน้ำหอมที่มีหัวน้ำหอมเข้มข้นที่สุดค่ะ ประมาณ 40% เลยทีเดียว ฉีดปุ๊บหอมติดทนไปทั้งวัน แต่ถ้าฉีดมากเกินไปอาจหอมจนปวดหัวได้นะคะ
Eau de Perfume (EDP) : หัวน้ำหอมจะเข้มข้นน้อยลงมานิดนึง คือประมาณ 15-20% น้ำหอมประเภทนี้จะหอมติดตัวประมาณครึ่งวัน หรือ 6 ชั่วโมงค่ะ พนักงานทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่นิยมกันมาก เพราะนั่งอยู่ในห้องแอร์ กลิ่นหอมฟุ้งเลย
Eau de Toillet (EDT) : ความเข้มข้นประมาณ 14-15% ค่ะ กลิ่นจะหอมกลาง ๆ ติดทนพอประมาณ ไม่ฉุนจนเกินไป เหมาะกับคนที่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกห้องแอร์บ่อย ๆ
Eau de Cologne (EDC) : มีหัวน้ำหอมอยู่เพียง 2-4% เท่านั้นเองค่ะ เหมาะสำหรับการฉีดเติมระหว่างวันเพื่อเพิ่มความสดชื่น มากกว่าหวังผลให้กลิ่นหอมติดทนนาน เน้นให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปรอบ ๆ มากกว่า
แอลกอฮอล์ เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมหลักในน้ำหอมค่ะ การที่เราได้กลิ่นแอลกอฮอล์ในน้ำหอมชัด อาจหมายถึงน้ำหอมขวดนั้นมีกลิ่นหอมที่อ่อนมาก ๆ จนไม่สามารถกลบกลิ่นแอลกอฮอล์ได้ หรืออาจผ่านการหมักบ่มกลิ่นไว้ไม่นานพอ โมเลกุลของกลิ่นหอมยังไม่สมดุลดี จึงทำให้เราได้กลิ่นแอลกอฮอล์นั่นเองค่ะ
และอีกหนึ่งข้อเสียของการหมักกลิ่นทิ้งไว้น้อยเกินไปก็คือ กลิ่นน้ำหอมจะเหวี่ยงมาก ๆ ฉีดกี่ครั้งกลิ่นก็เพี้ยนตลอดนั่นเองค่ะ
1. ห้ามเก็บน้ำหอมในตู้เย็น เพราะมีความชื้นสูง อุณหภูมิเปลี่ยนบ่อย อาจทำให้น้ำหอมเสียได้
2. เพราะส่วนผสมหลักของน้ำหอมคือ "น้ำมัน" จึงควรหลีกเลี่ยงการเก็บน้ำหอมในห้องที่มีอุณหภูมิสูง หรือโดนแดดส่อง เพราะแสงแดดและความร้อนจะทำให้น้ำหอมเสียเร็วขึ้น
1. ราคาหัวน้ำหอม ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีที่ได้มา เช่น หัวน้ำหอมกลิ่นกุหลาบแท้ กว่าจะได้มาสักหนึ่งกิโล ต้องใช้กลีบน้ำหอมหลายตันเลยทีเดียว ดังนั้น กลิ่นยิ่งเฉพาะตัวมากเท่าไหร่ยิ่งแพงมากเท่านั้น
2. น้ำมันสกัดจากธรรมชาติ อันตรายกว่าที่คิด เพราะน้ำมันเหล่านั้นมีกรดสูง เช่น มะนาว ส้ม ถ้าใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลให้ระคายเคืองได้
3. คนเรามีน้ำหอมมากกว่า 1 กลิ่นได้ ไม่ผิด เพราะน้ำหอมเป็นตัวช่วยกระตุ้นความทรงจำ หรือแสดงบุคลิกของเราได้ เช่น ไปประชุมต้องใช้กลิ่นนี้ ไปเดทต้องใช้อีกกลิ่นนึง เป็นต้น
4. น้ำหอม คล้ายกับเหล้า ยิ่งเก็บไว้นานกลิ่นยิ่งหอมกลมกล่อม
5. น้ำหอม จะหมดอายุเมื่อเก็บไว้ในห้องที่อุณหภูมิร้อนเกินไป หรือโดนแดดนาน ๆ
6. น้ำหอมที่ดี คือ น้ำหอมที่ตรงคอนเซปหรือตรงโจทย์มากที่สุด ไม่ใช่น้ำหอมที่ติดทนนานที่สุด
7. น้ำหอมทุกประเภท ฉีดทับกันได้หมด เพราะแต่ละกลิ่นมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง และกลมกลืนกันได้เอง
8. เมล็ดกาแฟที่เราดมเวลาต้องการพักจมูก ไม่ช่วยให้เราดมกลิ่นน้ำหอมได้ดีขึ้น การดมกลิ่นเข้ม ๆ ดุ ๆ แค่ช่วยปรับจมูกชั่วคราวเท่านั้น วิธีการพักจมูกจากกลิ่นที่ดีที่สุดคือ เดินไปที่ ๆ ไม่มีกลิ่นหอมสัก 5 นาทีแล้วค่อยกลับมา
9. ที่เรากับเพื่อนฉีดน้ำหอมแล้วกลิ่นแตกต่างกัน เพราะผิวหนังแต่ละครมีความเป็นกรดไม่เหมือนกัน เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำหอมจึงได้กลิ่นที่ต่างกัน
10. ไม่ควรฉีดน้ำหอมกับเสื้อผ้าใกล้เกินไป เพราะน้ำมันระเหยในน้ำหอมอาจไปทำปฏิกิริยากับเนื้อผ้าจนทำให้เนื้อผ้าเสียหายได้ ถ้าต้องการฉีดใส่เสื้อผ้า ควรถือให้ห่างอย่างน้อย 1 ฟุต
11. คนสมัยก่อนใช้ "ว้อดก้า" ในการผสมน้ำหอม แทนแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ในปัจจุบัน
12. ไม่ควรฉีดน้ำหอมแล้วเอามือมาถูกัน เพราะการถูจะทำให้โมเลกุลแตกตัวไว กลิ่นแรงขึ้นจริง แต่กลิ่นจะหายไปไวมากเช่นกัน
13. ความทนทานของน้ำหอม ขึ้นอยู่กับกลิ่นที่เลือก ถ้าเป็นกลิ่นสดชื่น นุ่ม ๆ จะติดทนนานน้อยกว่ากลิ่นที่มีความเข้ม และดุดัน
ระหว่างเล่าเกร็ดน้ำหอมมากมาย คุณชุนก็หยิบหัวน้ำหอมรูปแบบต่าง ๆ ออกมาให้พวกเราดูค่ะ ขอบอกว่ามีเยอะมาก ๆ แต่ละขวดล้วนแล้วแต่เป็นหัวน้ำหอมเข้มข้นทั้งนั้น พอเห็นหลายขวดหลายกลิ่นเข้า เลยแอบกระซิบถามคุณชุนว่าเจอ “กลิ่นแปลก” ที่ไม่น่าหอม แต่เขาใช้ในการปรุงน้ำหอมบ้างไหม คุณชุนตอบว่า มี ด้วยค่ะ ! เช่น กลิ่นนิ่วปลาวาฬ, กลิ่นจากต่อมข้างอัณฑะอูฐ, กลิ่นจากไม้กฤษณาอายุร้อยปี, กลิ่นฟาง และกลิ่นออกไซด์หรือกลิ่นเหล็ก
พออธิบายกลิ่นเสร็จปุ๊บ คุณชุนก็ให้พวกเราเลือกกลิ่นที่ชอบได้เลยค่ะ เพราะคุณชุนจำได้หมดว่าขวดไหนเป็นท็อป ขวดไหนเป็นเบส เราเลยเลือกกันสนุกเลย แต่ต้องยอมรับว่าดมไปเรื่อย ๆ จมูกก็เริ่มล้า ดมกลิ่นแล้วเพี้ยนไปหมดเลยล่ะค่ะ คุณชุนบอกว่าเลือกมาได้เลยคนละ 5-10 กลิ่น แต่นี่ใช้โควต้าไปแค่ 6 กลิ่นเท่านั้นเองค่ะ
จากนั้นคุณชุนจะถามเราว่าอยากได้น้ำหอมประเภทไหน เพราะต้องคำนวณอัตราส่วนของหัวน้ำหอมในการผสมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เลือก EDT (Eau de Toilette) กันค่ะ เมื่อเลือกได้แล้วคุณชุนจะกำหนดจำนวนหยด และจำนวนเซตในการหยดหัวน้ำหอมแต่ละกลิ่นมาให้ พร้อมกระปุกใบจิ๋ว นี่ก็นั่งนับหยดวนไปค่ะ หยดเซตนึงก็ดมทีนึง สนุกดีนะ
พอหยดเสร็จแล้วต้องเขย่าเบา ๆ ให้หัวน้ำหอมเข้ากันด้วยนะคะ จากนั้นนำไปให้คุณชุน คุณชุนจะนำไปผสมแอลกอฮอล์ และบรรจุใส่ขวดให้กลับบ้านไปเลยคนละ 1 ขวด แต่น้ำหอมขวดนี้ยังใช้ไม่ได้นะ ! ต้องเก็บไว้ก่อน 1-2 เดือน เพื่อบ่มกลิ่นให้เข้าที่ก่อนถึงจะเอาออกมาใช้ได้ค่ะ
รีวิวเพิ่มเติม >> Vacation Bangkok คาเฟ่ที่ทำให้ทุกวันเหมือนวันพักผ่อน