ประเทศไทย กำลังจะมีสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เมื่อ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โปรดเกล้าฯ “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์” แห่งวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แล้ว โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ ประกอบพระพิธีสถาปนาในวันที่ 12 ก.พ. 60 ที่วัดพระแก้ว เวลา 17.00 น.
มาทำความรู้จักพระจริยวัตรอันงดงามของสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ของเรากันค่ะ
แม้ท่านไม่ใช่พระที่เรียนเปรียญธรรมสูง จบเพียงเปรียญธรรม 6 ประโยค แต่ที่ผ่านมา สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 18 (วาสนมหาเถร) ก็จบเปรียญธรรม 4 ประโยค
ท่านเคร่งครัดต่อการปฏิบัติกิจของสงฆ์มาก จะถอดรองเท้าตลอด แม้จะเป็นพระในระดับพระราชาคณะ ไม่มีสมบัติพัสถาน ทรงไว้ซึ่งเป็นพระแท้ ไม่มัวหมองเรื่องเงินทอง เวลารับกิจนิมนต์บางครั้งก็เดินทางด้วยรถแท็กซี่ เดินด้วยเท้าเปล่า
ซึ่งที่ผ่านมา เคยมีกรณีพระทำผิดพระธรรมวินัย แต่ท่านก็ตัดสินความผิดอย่างเที่ยงธรรม ไม่เห็นแก่คนรู้จักหรือฝ่ายเดียวกัน ก่อนหน้านี้ หลายสิบปีมาแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จเคยนั่งรถโดยสารตามลำพัง เพื่อตามไปฟังพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ณ สถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ห่างไกล
ซึ่งทำงานเป็นพระธรรมทูตมาโดยตลอด ซึ่งท่านได้ทำงานสำคัญ คือ การไปช่วยประดิษฐานพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ที่ประเทศออสเตรเลีย
โดยในช่วงแรก เป็นการไปเผยแผ่ศาสนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 ที่นครซิดนีย์ หลังจากนั้น ได้มีการผลักดันพุทธสมาคม และมีการตั้งพุทธสมาคมขึ้นอีกหลายเมือง อาทิ แคนเบอร์รา เมลเบิร์น ดาร์วิน
ซึ่งการวางรากฐานดังกล่าวทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศออสเตรเลียมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ และพุทธาวาส ให้กับ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ในช่วงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่วัดธัมมธโร (แปลว่า ทรงไว้ซึ่งธรรม) ที่กรุงแคนเบอร์รา
คำบรรยายภาพ :
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อัมพโร) นำพาคณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชน เข้ากราบนมัสการถวายมุทิตาสักการะแด่ “พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)” เนื่องในโอกาสฉลองอายุวัฒนมงคลครบ ๙๓ ปี เมื่อวันจันทร์ที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร กรุงเทพมหานคร
เป็นความงดงามทางจริยวัตรต่อพระสงฆ์ด้วยกัน ว่าจะคำนึงถึงอายุพรรษาเป็นหลัก ไม่ใช่สมณศักดิ์ หรือตำแหน่งทางคณะสงฆ์ หรืออายุขัย ท่านจึงเป็นฝ่ายนั่งก้มลงกราบหลวงพ่อวิริยังค์ได้อย่างงดงาม
พระนามของสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 จะใช้พระนามว่า
โดยพระนามสมเด็จพระสังฆราช ที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ คือ
ซึ่งเป็นพระนามของสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 1 ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงองค์ที่ 18
หมายเหตุ :
ส่วนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 นั้น มีพระนามแตกต่างจาก 18 องค์ที่ผ่านมา เนื่องจากในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดสถาปนาให้มีชื่อเดิม ก่อนที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) เดิมชื่อ อัมพร ประสัตถพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2470 ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โยมบิดาชื่อนายนับ ประสัตถพงศ์ โยมมารดาชื่อนางตาล ประสัตถพงศ์ ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ 4 ตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
การบรรพชาอุปสมบท
บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2480 ณ วัดสัตตนารถปริวัตรวรวิหาร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมีพระธรรมเสนานี (เงิน นนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์
ต่อมาได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ณ พัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระจินดากรมุนี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
การศึกษาพระปริยัติธรรม
สามเณรอัมพร ประสัตถพงศ์ ไปอยู่จำพรรษาที่วัดตรีญาติ ต.พงสวาย เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2483 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี จากนั้น พ.ศ. 2484 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นโทและ พ.ศ. 2486 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค เมื่อพ.ศ. 2488 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค
เมื่อ พ.ศ. 2490 ได้ย้ายมาอยู่จำพรรษา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี นำมาฝากกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) สกลมหาสังฆปริณายก
ภายหลังอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2491 ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักเรียนวัดราชบพิธฯ จน พ.ศ. 2491 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค และ พ.ศ. 2493 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
ต่อมา เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นนักศึกษารุ่นที่ 5 จบศาสนศาสตรบัณฑิต เมื่อปี พ.ศ. 2500 และได้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี (Banaras Hindu University) ประเทศอินเดีย จบการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2512 ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี
ปี พ.ศ. 2552 สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ถวายศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์
ปี พ.ศ. 2553 สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาธรรมนิเทศ[3]
ตำแหน่งปัจจุบัน
- เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
- กรรมการมหาเถรสมาคม
- กรรมการคณะธรรมยุต
- กรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุต
- ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14-15 (ธรรมยุต)
- แม่กองงานพระธรรมทูต
สมณศักดิ์
พ.ศ. 2514 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระปริยัติกวี
พ.ศ. 2524 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสารสุธี
พ.ศ. 2533 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเมธาภรณ์
พ.ศ. 2538 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเมธาภรณ์
พ.ศ. 2543 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ
พ.ศ. 2552 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (ข้อมูลจาก-วิกิพีเดีย)