25 Views
\ตามหลักจิตวิทยา สมองมนุษย์มีแนวโน้มเลือกความสุขระยะสั้น เช่น การซื้อของ การกินอาหารดี ๆ หรือช้อปปิ้งออนไลน์ มากกว่าความมั่นคงในอนาคตอย่างการออมเงิน เมื่อเห็นโปรโมชั่นหรือของที่ถูกใจ สมองจะหลั่งโดพามีน ทำให้รู้สึกดีทันที ส่งผลให้หลายคนใช้เงินโดยไม่ทันคิดถึงผลระยะยาว นี่คือเหตุผลว่าทำไม “ตั้งใจจะออม แต่สุดท้ายก็ใช้หมด”
ลองใช้แนวทางปรับนิสัย ดังนี้
- ลองเว้นระยะเวลา 24 ชั่วโมงก่อนตัดสินใจซื้อของที่ไม่จำเป็น
- แยกบัญชีเงินออมออกจากบัญชีใช้จ่ายอย่างชัดเจน
การใช้เงินตามอารมณ์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้หลายคน เก็บเงินไม่อยู่ แม้จะตั้งใจออมแค่ไหนก็ตาม พฤติกรรมนี้มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้มาจากความจำเป็น แต่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึก และความเครียดในชีวิตประจำวัน ในทางจิตวิทยาเมื่อเรารู้สึกเครียด เหนื่อย เศร้า หรือกดดัน สมองจะมองหาวิธี “ปลอบใจตัวเอง” อย่างรวดเร็ว และการใช้เงิน เช่น การช้อปปิ้ง สั่งอาหาร หรือซื้อของที่อยากได้ จะกระตุ้นสารโดพามีน ทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว แต่ความสุขนั้นมักอยู่ไม่นาน และตามมาด้วยความรู้สึกผิดหรือความกังวลเรื่องเงินในภายหลัง
วิธีสังเกตว่าเรากำลังใช้เงินตามอารมณ์หรือไม่
- ซื้อของทันทีเมื่อรู้สึกเครียดหรือไม่สบายใจ
- ซื้อของแล้วรู้สึกผิดภายหลัง
- ใช้เงินทั้งที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า
- ใช้คำว่า “ขอปลอบใจตัวเองหน่อย” บ่อย ๆ
หากมีพฤติกรรมเหล่านี้ แสดงว่าการใช้เงินอาจถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าความจำเป็น
ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เช่น กาแฟวันละแก้ว ค่าส่งอาหาร หรือค่าสมาชิกแอปต่าง ๆ มักถูกมองข้าม แต่เมื่อรวมกันทั้งเดือนกลับเป็นเงินจำนวนมาก หลายคนเก็บเงินไม่อยู่เพราะไม่เคย “เห็นภาพรวม” ของเงินที่ไหลออกไปจริง ๆ แนวทางปรับนิสัยให้มีเก็บเงินอยู่มากขึ้น
- ทำสรุปรายจ่ายรายเดือน
- ตรวจสอบ Subscription ที่ไม่ได้ใช้งาน
- ตั้งงบประมาณรายวันหรือรายสัปดาห์
บางคนรู้สึกว่าการใช้ของดี กินแพง หรือมีไลฟ์สไตล์หรู เป็นสิ่งที่สะท้อนคุณค่าและความสำเร็จของตัวเอง เมื่อความภาคภูมิใจถูกผูกกับการใช้เงิน การออมจะถูกมองว่าเป็นการ “ลดคุณค่า” ของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้ใช้เงินเกินฐานะ แม้จะรู้ว่าไม่ควรทำก็ตาม
การเก็บเงินไม่อยู่ของหลายคน ไม่ได้เกิดจากการใช้เงินเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เกิดจากการใช้เงินเพื่อรักษาความสัมพันธ์ กับคนรอบตัวโดยไม่รู้ตัว ในเชิงจิตวิทยา มนุษย์มีความต้องการพื้นฐานคือการเป็นที่ยอมรับและไม่อยากถูกปฏิเสธ ทำให้หลายคนเลือก “เสียเงิน” แทนการ “เสียใจ” หรือกลัวเสียความสัมพันธ์
ตัวอย่างพฤติกรรมที่พบได้บ่อย
- ยอมเลี้ยงข้าวเพื่อนทั้งที่งบไม่พอ
- ช่วยออกเงินแทนคนอื่นเป็นประจำ
- ให้ยืมเงินทั้งที่ตัวเองยังไม่พร้อม
- ใช้เงินเกินตัวเพื่อไม่ให้รู้สึกแตกต่างจากกลุ่ม
แนวทางปรับพฤติกรรม
- กำหนดขอบเขตทางการเงินของตัวเองให้ชัดเจน
-ฝึกพูดปฏิเสธอย่างสุภาพ โดยไม่รู้สึกผิด
-เตือนตัวเองว่าการรักษาสุขภาพการเงิน ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว
หลายคนล้มเลิกการออมเงิน ไม่ใช่เพราะไม่อยากออม แต่เพราะเคยมีประสบการณ์ไม่ดี เช่น ออมแบบฝืนใจ อดทุกอย่าง หรือกดดันตัวเองมากเกินไป เมื่อสมองเชื่อมโยงการออมกับความเครียด ความอึดอัด และการเสียความสุข สมองจะพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมนั้นโดยอัตโนมัติ ในทางจิตวิทยา หากกิจกรรมใดทำให้รู้สึกไม่ดี สมองจะต่อต้าน แม้กิจกรรมนั้นจะมีประโยชน์ในระยะยาวก็ตาม
แนวทางปรับมุมมองใหม่
- เริ่มออมจากจำนวนเล็ก ๆ ที่ไม่กดดัน
- มองการออมเป็นการสร้างความปลอดภัย ไม่ใช่การลงโทษตัวเอง
- อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขควบคู่กับการออม
เมื่อการออมไม่ใช่เรื่องตึงเครียด แต่เป็นเรื่องที่ทำได้จริง การเก็บเงินให้อยู่จะค่อย ๆ กลายเป็นนิสัยที่ยั่งยืน