8 Views
จิตวิทยาไม่ได้ใช้แค่กับนักจิตวิทยาหรือแพทย์เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น
- การเข้าใจอารมณ์ของตนเอง
- การสื่อสารกับผู้อื่นให้ราบรื่น
- การรับมือกับความเครียดและความกดดัน
หนึ่งในหลักจิตวิทยาพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ พฤติกรรมทุกอย่างมีเหตุผลของมัน คนที่โมโหง่าย ไม่ได้แปลว่าเป็นคนไม่ดี คนที่เงียบ ไม่ได้แปลว่าไม่สนใจ แต่พฤติกรรมเหล่านั้นมักเกิดจากประสบการณ์ในอดีต, ความเครียด, ความกลัว หรือความไม่มั่นคงทางใจ การเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราไม่ตัดสินคนเร็วเกินไป และสื่อสารด้วยความเข้าใจมากขึ้น
แม้เราจะคิดว่าตัวเองใช้เหตุผลเป็นหลัก แต่ในความจริงมนุษย์ตัดสินใจด้วย “อารมณ์” ก่อน แล้วจึงหาเหตุผลมาสนับสนุนภายหลัง ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
- ซื้อของเพราะรู้สึกอยาก → แล้วค่อยคิดว่ามันจำเป็น
- เลือกทำงานบางอย่างเพราะรู้สึกไม่ชอบ → แม้งานนั้นจะดีแค่ไหนก็ตาม
การรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง จะช่วยให้เราตัดสินใจได้รอบคอบขึ้น และลดความผิดพลาดในชีวิตได้
อีกหนึ่งหลักของจิตวิทยาในชีวิตประจำวัน คือ การมีความคิดลบไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เช่น คิดว่าตัวเองไม่เก่ง, กลัวการถูกปฏิเสธ, เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น สิ่งสำคัญไม่ใช่ “ไม่คิดลบ” แต่คือ ต้องรู้ตัวว่ากำลังคิดลบ ไม่ปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นควบคุมชีวิต การฝึกตั้งคำถามกับความคิด เช่น สิ่งที่คิดอยู่ เป็นความจริงหรือแค่ความรู้สึก เป็นเทคนิคจิตวิทยาที่ช่วยในการดำรงชีวิตได้มาก
หลักจิตวิทยาพื้นฐานด้านการสื่อสารระบุว่า มนุษย์ต้องการ “การรับฟัง” มากกว่าคำแนะนำ การฟังอย่างตั้งใจ ก็คือ ฟังโดยไม่ขัด, ไม่ตัดสิน หรือแสดงออกว่าเราเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย การฟังแบบนี้ช่วยลดความขัดแย้ง สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว
ทางจิตวิทยาพบว่า สภาพแวดล้อมรอบตัวส่งผลต่อความคิดและอารมณ์มากกว่าที่เราคิด เช่น
- ห้องรก → ทำให้รู้สึกเครียดโดยไม่รู้ตัว
- แสงแดด → ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น
- เสียงดัง → ทำให้สมาธิลดลง
การปรับสิ่งแวดล้อมเล็ก ๆ เช่น โต๊ะทำงาน หรือพื้นที่พักผ่อน สามารถช่วยปรับสภาพจิตใจของคนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักจิตวิทยาพื้นฐานที่หลายคนมองข้ามคือ หากไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเอง เราจะเข้าใจคนอื่นได้ยาก การสังเกตและเข้าใจตัวเอง จะช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น สื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีสติ และลดปัญหาความขัดแย้งในชีวิตได้ ดังนั้น ควรฝึกสังเกตตัวเอง เช่น
- วันนี้เรารู้สึกอะไร
- อะไรทำให้เราอารมณ์เสีย
- เราตอบสนองต่อปัญหาแบบไหน
หนึ่งในหลักจิตวิทยาพื้นฐานที่ใช้ได้ผลดีมากคือ การเสริมแรงทางบวก คือ การให้รางวัลหรือคำชื่นชมเมื่อเกิดพฤติกรรมที่ดี เพื่อกระตุ้นให้พฤติกรรมนั้นเกิดซ้ำอีก การใช้วิธีนี้ช่วยสร้างแรงจูงใจจากภายใน ลดการต่อต้านและความกดดัน และทำให้ความสัมพันธ์รอบตัวเราเป็นบวกมากขึ้น ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
- ชื่นชมตัวเองเมื่อทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย
- กล่าวขอบคุณหรือให้กำลังใจเมื่อเพื่อนร่วมงานช่วยเหลือ
- ชมเชยเด็กหรือคนใกล้ตัวเมื่อพยายามทำสิ่งที่ดี แม้ผลลัพธ์ยังไม่สมบูรณ์
จิตวิทยาพบว่า ความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่งเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับกรอบความคิด Mindset ของเราเองที่มีต่อตัวเองและสถานการณ์ต่าง ๆ Mindset แบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก
- Fixed Mindset เชื่อว่าความสามารถเปลี่ยนไม่ได้
- Growth Mindset เชื่อว่าทักษะพัฒนาได้จากการเรียนรู้และความพยายาม
คนที่มี Growth Mindset มักไม่กลัวความผิดพลาดมองปัญหาเป็นโอกาสในการเรียนรู้ และฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้เร็วกว่า การปรับกรอบความคิดเป็นหนึ่งในเทคนิคทางจิตวิทยา ที่ช่วยพัฒนาตัวเองได้อย่างยั่งยืน
ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ หลักจิตวิทยาพื้นฐานสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับ “การพักใจ” ไม่แพ้การทำงานให้เก่ง การพักใจไม่ใช่ความขี้เกียจแต่คือ การให้สมองและอารมณ์ได้ฟื้นฟู, การลดความเครียดสะสม, การป้องกันภาวะหมดไฟ (Burnout) การพักใจอย่างสม่ำเสมอช่วยให้อารมณ์มั่นคงขึ้น คิดได้ชัดเจนมากขึ้น และช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลและมีความสุขกว่าเดิม วิธีพักใจแบบง่าย ๆ เช่น
- ปิดการแจ้งเตือนโซเชียลช่วงเวลาหนึ่ง
- ทำกิจกรรมที่ไม่ต้องแข่งขันหรือเร่งรีบ
- อยู่กับตัวเองอย่างมีสติ (Mindfulness)