Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ทำความรู้จักประวัติศาสตร์แฟชั่น (Fashion History) แฟชั่นยุคต่างๆ

Posted By Praphatsorn | 24 ต.ค. 68
39 Views

  Favorite

โลกแฟชั่นไม่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ แต่มี ประวัติศาสตร์แฟชั่น (Fashion History) ยาวนานตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทฤษฎี แนวคิด และแรงบันดาลใจจากยุคสมัยต่าง ๆ ส่งผลต่อรูปแบบเสื้อผ้า สีสัน โครงสร้าง และแนวทางการออกแบบในแต่ละยุค บทความนี้จะพานักศึกษาแฟชั่นดีไซน์ย้อนเวลา สำรวจ แฟชั่นยุคต่าง ๆ (Fashion eras) ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เข้าใจวิวัฒนาการของเสื้อผ้า แนวคิด และบทบาทของแฟชั่นในสังคมอย่างลึกซึ้ง


ประวัติศาสตร์แฟชั่น (Fashion History) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่นักศึกษาคณะแฟชั่นดีไซน์ควรศึกษาอย่างลึกซึ้ง เพราะแฟชั่นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในแต่ละยุคสมัยได้อย่างชัดเจน การทำความเข้าใจ แฟชั่นยุคต่างๆ จึงช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีมิติทางประวัติศาสตร์ มีรากฐานแน่น และสามารถพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว

 

 

ความหมายของประวัติศาสตร์แฟชั่น

ประวัติศาสตร์แฟชั่น (Fashion History) คือการศึกษาวิวัฒนาการของเสื้อผ้า เครื่องประดับ รูปทรง เทคนิคการตัดเย็บ และแนวคิดความงามตลอดเวลา โดยไม่เพียงมองว่า “เสื้อผ้า” เป็นสิ่งประดับ แต่เป็นบันทึกของวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และอัตลักษณ์มนุษย์ การเข้าใจประวัติศาสตร์แฟชั่นช่วยให้นักออกแบบ เข้าใจรากฐานของรูปแบบต่าง ๆ สามารถหยิบจับแนวคิด ยุค หรือเทคนิคจากอดีตมาผสมผสานกับความคิดร่วมสมัย และสร้างผลงานที่มีความลึกซึ้ง

นอกจากนี้ การเรียนรู้ แฟชั่นยุคต่าง ๆ จะช่วยให้นักศึกษาเห็น “เส้นทาง” ของแฟชั่น ว่าองค์ประกอบของยุคหนึ่งๆ ถูกเปลี่ยนแปลงโดยปัจจัยอะไร เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเมือง สงคราม การค้า การปฏิวัติอุตสาหกรรม ฯลฯ

 

ความสำคัญของการศึกษา Fashion History

การเรียนรู้ ประวัติศาสตร์แฟชั่น ไม่ได้เป็นเพียงการรู้ว่าแต่ละยุคแต่งตัวอย่างไร แต่เป็นการเข้าใจบริบทของแต่ละช่วงเวลา เช่น เหตุใดในยุคหนึ่งผู้หญิงต้องใส่กระโปรงสุ่ม หรือเหตุใดเสื้อผ้าบางยุคถึงเรียบง่ายผิดปกติ ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนสิ่งที่สังคมในขณะนั้นเผชิญอยู่ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์และสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นร่วมสมัย

 

แฟชั่นยุคต่างๆ ที่ควรรู้

1. แฟชั่นยุคโบราณ (Ancient Fashion)

แฟชั่นยุคอียิปต์ โรมัน และกรีก มักใช้ผ้าชิ้นใหญ่พันร่างกายอย่างมีศิลปะ แสดงถึงสถานะและบทบาทในสังคม เช่น เสื้อคลุมโทกาของชาวโรมัน และผ้าเพพโลสของชาวกรีก โดยวัสดุที่จากผ้าธรรมชาติ เช่น ผ้าไหม ผ้าลินิน หรือผ้าขนสัตว์ ด้วยรูปแบบการตัดเย็บเบื้องต้น เน้นการห่อ ผ้า drapery มากกว่าการตัดเย็บเฉพาะตัว

 

แฟชั่นในอียิปต์โบราณ (Ancient Egypt)

อียิปต์เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่ให้ความสำคัญกับแฟชั่นมากที่สุดในยุคโบราณ

- เสื้อผ้าทำจาก ผ้าลินิน (Linen) ซึ่งเหมาะกับอากาศร้อนและแห้งของทะเลทราย
- ผู้ชายมักสวม “ผ้าโจงกระเบน (Shendyt)” ส่วนผู้หญิงจะสวม “เดรสยาวรัดรูป (Kalasiris)”
- เครื่องประดับทองคำ หินมีค่า และคอปกกว้าง (Broad Collar) เป็นสัญลักษณ์ของ ชนชั้นสูงและเทพเจ้า
- เครื่องสำอาง เช่น อายไลเนอร์สีดำ (Kohl) ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่น เพื่อความงามและป้องกันแสงแดด
 

 

แฟชั่นในกรีกและโรมันโบราณ (Ancient Greece & Rome)

แฟชั่นในกรีกและโรมันให้ความสำคัญกับ “ความสง่างามและสมมาตรของร่างกาย”

- ชาวกรีกนิยมสวม Chiton (ผ้าคลุมยาว) และ Himation (ผ้าคลุมไหล่)
- ชาวโรมันมี Toga สำหรับผู้ชาย และ Stola สำหรับผู้หญิง
- สีและลวดลายของเสื้อผ้ามักสะท้อนถึง ชนชั้นและสถานะทางสังคม เช่น สีม่วงสำหรับกษัตริย์หรือนักบวช
- เครื่องประดับและรองเท้าหนัง (Sandals) ก็เป็นสัญลักษณ์ของรสนิยมและความมั่งคั่ง

 

 

แฟชั่นในจีนและญี่ปุ่นโบราณ (Ancient China & Japan)

ในฝั่งเอเชีย แฟชั่นถูกเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับวัฒนธรรมและปรัชญา

- จีนโบราณมีการแต่งกายแบบ ฮั่นฝู (Hanfu) ที่เน้นความอ่อนช้อยและสมดุล
- สีเสื้อผ้าเป็นสัญลักษณ์ของ อำนาจและศักดิ์ศรี เช่น สีเหลืองสำหรับจักรพรรดิ
- ญี่ปุ่นโบราณสวมใส่ กิโมโน (Kimono) ซึ่งเป็นทั้งเสื้อผ้าและงานศิลปะที่แสดงถึงฐานะและบทบาทในสังคม
- ผ้าไหมเป็นวัสดุชั้นสูงที่ถูกส่งออกไปยังหลายประเทศผ่านเส้นทางสายไหม (Silk Road)

 

 

แฟชั่นในอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอินเดียโบราณ

- ในเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) เสื้อผ้าถูกทำจากขนสัตว์และผ้าลินิน โดยมีลวดลายเรขาคณิตและการปักมืออย่างประณีต
- ชาวอินเดียโบราณนิยมผ้าคลุมตัวแบบ ส่าหรี (Sari) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นแฟชั่นประจำชาติในปัจจุบัน
- เครื่องประดับ เช่น สร้อย แหวน และกำไล มีความหมายทางศาสนาและความเชื่อ

 

2. แฟชั่นยุคกลาง (Medieval Fashion)

ช่วงยุคกลางเน้นการแต่งกายที่แสดงถึงชนชั้นอย่างชัดเจน เสื้อผ้ามีลักษณะหนา ทรงหลวม และมักประดับด้วยเครื่องประดับทองคำหรืออัญมณี คนในราชสำนักมักสวมเสื้อผ้าที่มีลวดลายละเอียด และมีเสื้อคลุมยาวลากพื้น ใช้ผ้าหรู ประดับด้วยลูกปัด ผ้ากำมะหยี่ 

 

3. แฟชั่นยุคเรเนซองส์ (Renaissance Fashion)

ถือเป็นยุคสำคัญใน ประวัติศาสตร์แฟชั่น (Fashion History) ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์การแต่งกายของยุโรปจากความเรียบง่ายในยุคกลาง สู่ความหรูหรา มีโครงสร้าง

ยุคนี้เน้นความหรูหรา ฟู่ฟ่า เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรายละเอียดศิลปะ ลูกไม้ พัฟแขน และสีสันสดใส มีการใช้ผ้าไหมและกำมะหยี่ ซึ่งแสดงถึงความมั่งคั่งและอิทธิพลของศิลปะยุคเรเนซองส์ 

เสื้อผ้ามีโครงสร้างมากขึ้น มีการเสริมซับใน โครงเหล็ก (stays) และการปูรอบตัว (farthingale)

 

ยุคนี้เป็นช่วงเวลาที่ “แฟชั่น” กลายเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะทางสังคม ความมั่งคั่ง และรสนิยมของผู้คนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในราชสำนักอิตาลี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของแรงบันดาลใจด้านสไตล์และการออกแบบที่ส่งอิทธิพลต่อโลกแฟชั่นมาจนถึงปัจจุบัน

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุคเรเนซองส์

เสื้อผ้าผู้หญิง

- Silhouette เน้นรูปร่างทรงนาฬิกาทราย (hourglass shape)
โดยใช้ คอร์เซ็ต (corset) เพื่อรัดเอวให้คอดและใส่กระโปรงที่มีโครงเหล็กหรือผ้าหนาเพื่อให้ฟูออก
- ผ้าหลากชั้น (Layering) เป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้ ผู้หญิงมักสวมเสื้อหลายชั้น เช่น chemise (เสื้อชั้นใน), gown (ชุดหลัก), surcoat (เสื้อคลุม)
- คอเสื้อสูงและแขนพอง (ruff & puffed sleeves) แขนเสื้อมีการพองฟูและตกแต่งด้วยโบว์หรือผ้าปักลวดลายหรูหรา
- เครื่องประดับศีรษะ (headdress) เช่น French hood และ veil ที่ตกแต่งด้วยอัญมณี
 

เสื้อผ้าผู้ชาย

- ใช้เสื้อ doublet (เสื้อรัดลำตัว) กับกางเกงที่พอง (trunk hose)
- เน้นไหล่กว้าง หน้าอกหนา เพื่อสื่อถึงความแข็งแรงและอำนาจ
- ใช้ผ้าหรู ตกแต่งด้วยขนนก ลูกไม้ และโลหะ
- สวมเสื้อคลุม (cloak) หรือเสื้อเกราะหนังปักลวดลาย

 

4. แฟชั่นยุควิกตอเรียน (Victorian Fashion)

 

ยุคนี้ถือเป็นยุคทองของความหรูหรา ความประณีต และการให้ความสำคัญกับมารยาททางสังคม โดยแฟชั่นจึงสะท้อนถึงสถานะ ความมั่งคั่ง และกิริยามารยาทของผู้สวมใส่ 

แฟชั่นยุควิกตอเรียนของอังกฤษมีความซับซ้อนและเป็นระบบมากขึ้น ผู้หญิงนิยมใส่โครงกระโปรงสุ่ม (crinoline) และคอร์เซ็ตเพื่อสร้างรูปร่างทรงนาฬิกาทราย ในขณะที่ผู้ชายแต่งกายสุภาพ เรียบร้อย สวมสูทและหมวกทรงสูง

การปฏิวัติอุตสาหกรรมนำการผลิตผ้า เครื่องจักร และระบบโรงงานมาใช้ ทำให้ผ้าถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุควิกตอเรียน (Victorian Fashion)

เสื้อผ้าผู้หญิง

- เสื้อรัดอก (Corset)
เป็นเครื่องแต่งกายสำคัญของผู้หญิงยุคนี้ ใช้รัดให้ช่วงเอวคอดเล็กและยกหน้าอกให้ดูโดดเด่น
 

- กระโปรงสุ่ม (Crinoline / Bustle)
ในช่วงกลางศตวรรษนิยมกระโปรงกว้างทรงสุ่มเหล็ก แต่ต่อมาปลายศตวรรษเปลี่ยนเป็นทรงกระโปรงที่เน้นช่วงสะโพกด้านหลัง
 

- ผ้าและเครื่องประดับ
ใช้ผ้าซาติน ผ้าไหม ผ้าลูกไม้ รวมถึงการปักลวดลายละเอียดอ่อน เพิ่มความหรูหราด้วยเครื่องประดับทอง เพชร หรือมุก
 

- หมวกและถุงมือ
ผู้หญิงมักสวมหมวกประดับดอกไม้และขนนก พร้อมถุงมือผ้าลูกไม้หรือผ้าไหม เพื่อแสดงถึงความสุภาพ

 

 

เสื้อผ้าผู้ชาย

- เสื้อผ้าชายมักตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าขนสัตว์หรือผ้ากำมะหยี่

- เสื้อสูทเข้ารูป มีเสื้อกั๊กด้านใน และมักสวมหมวกทรงสูง (Top Hat)

- เน้นโทนสีเข้ม เช่น ดำ เทา น้ำตาล เพื่อสื่อถึงความเป็นสุภาพบุรุษ



 

5. แฟชั่นยุค 1920s – ยุคแจ๊ส (Jazz Age)

แฟชั่นยุค 1920s หรือที่เรียกว่า ยุคแจ๊ส (Jazz Age) เป็นช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์แฟชั่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อผู้คนเริ่มโหยหาความอิสระ สนุกสนาน และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ การแต่งกายในยุคนี้สะท้อนถึง “อิสรภาพของร่างกายและจิตใจ” 

 

โดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงที่เริ่มปลดแอกตนเองจากข้อจำกัดทางสังคมและแฟชั่นแบบเดิม เป็นยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง ผู้หญิงเริ่มปลดแอกจากคอร์เซ็ต สวมชุดเดรสทรงตรง ผมบ็อบสั้น และเครื่องประดับแวววาว เป็นช่วงที่แฟชั่นเริ่มสะท้อนความเป็นอิสระของเพศหญิงอย่างเด่นชัด  ความนิยมของแฟชั่นต้องสวมใส่ง่ายขึ้น แนวคิดเสื้อผ้าที่ผู้หญิงใส่เองได้ 

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุค 1920s

เสื้อผ้าผู้หญิง

- สไตล์ Flapper – สาวทันสมัยแห่งยุคใหม่
“Flapper” คือคำที่ใช้เรียกผู้หญิงยุคใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้าแต่งตัว ชุดเดรสของพวกเธอจะเป็นทรงตรง (Straight Silhouette) หรือทรงหลวม ลดการใช้คอร์เซ็ท (Corset) ที่เคยรัดแน่นในยุคก่อน กระโปรงสั้นขึ้นเหนือเข่า เพิ่มความคล่องตัวและความมั่นใจ
 

- วัสดุและการตกแต่ง
เสื้อผ้าในยุคนี้นิยมผ้าไหม (Silk), ผ้าชีฟอง (Chiffon), และผ้ากำมะหยี่ (Velvet) ประดับด้วยลูกปัด เลื่อม และขนนก เพื่อให้ระยิบระยับเมื่ออยู่ในแสงไฟของคลับแจ๊ส
 

- ทรงผมและเครื่องประดับ
ผู้หญิงนิยมตัดผมสั้นทรงบ๊อบ (Bob Cut) หรือทรงฟิงเกอร์เวฟ (Finger Wave) สวมหมวกคลอช (Cloche Hat) เครื่องประดับเพชรพลอยระย้า และสร้อยไข่มุกเส้นยาว ส่วนการแต่งหน้าเน้นตาเข้ม ปากแดง เพื่อสื่อถึงความมั่นใจและความเซ็กซี่แบบผู้หญิงยุคใหม่

 

- ยุคฟลัปเปอร์ (Flapper) เสื้อทรงหลวม เอวต่ำ กระโปรงสั้นกว่ายุคก่อน

มีกลิ่นอาย Art Deco, เส้นสายเรขาคณิต การเคลื่อนไหวของแฟชั่นเน้นอิสระ


 

แฟชั่นผู้ชายในยุคแจ๊ส
ผู้ชายแต่งตัวเนี๊ยบในสไตล์แกสบี้ (Gatsby Style) เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงเอวสูง เสื้อสูทสีอ่อน หมวกฟาง (Boater Hat) และรองเท้าหนังสองสี กลายเป็นภาพจำของสุภาพบุรุษยุค 1920s

 

6. แฟชั่นยุค 1940s – ยุคสงคราม

 

แฟชั่นยุค 1940s เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงจากผลของ สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการแต่งกายและอุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลก ความขาดแคลนวัตถุดิบและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจทำให้แฟชั่นในยุคนี้เน้น “ความเรียบง่าย ประโยชน์ใช้สอย และความแข็งแกร่ง” มากกว่าความหรูหรา 

ด้วยวัสดุที่จำกัด ชุดยูนิฟอร์มเป็นแรงบันดาลใจหลัก ชุดผู้หญิงเริ่มมีโครงสร้างที่แข็งขึ้น ไหล่ตั้ง มีการใช้ผ้าวูลและผ้าฝ้ายมากขึ้น

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุคสงคราม

 

เสื้อผ้าผู้หญิง

- โครงเสื้อทรงทหาร (Military Silhouette)
เสื้อผ้าผู้หญิงได้รับอิทธิพลจากเครื่องแบบทหาร มีโครงไหล่ชัดเจน เอวคอด กระโปรงทรงตรงหรือทรง A-line ความยาวประมาณเข่า เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหว
 

- วัสดุและสีผ้า
เน้นผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์สังเคราะห์ หรือเรยอน (Rayon) ที่ผลิตได้ง่าย สีที่นิยมคือสีกากี เทา เขียวมะกอก น้ำเงินกรม และน้ำตาล ซึ่งเป็นโทนสงบและสะท้อนยุคสงคราม
 

- การประดิษฐ์แฟชั่นอย่างประหยัด (Make Do and Mend)
ผู้หญิงต้องซ่อมแซมและดัดแปลงเสื้อผ้าเก่าให้ใช้ได้ใหม่ เกิดวัฒนธรรม “เย็บเสื้อผ้าเอง” และแนวคิด Sustainable Fashion ในยุคแรกเริ่ม
 

- ทรงผมและเครื่องประดับ
ผมถูกม้วนขึ้นสูงหรือมัดไว้เพื่อความสะดวกในการทำงาน เครื่องประดับมีขนาดเล็กและเรียบง่าย เช่น เข็มกลัด หมวกเล็ก ๆ หรือผ้าพันคอ

 

เสื้อผ้าผู้ชาย

ผู้ชายส่วนใหญ่ต้องสวมเครื่องแบบทหาร แต่ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้ายังคงเน้นความสุภาพและประโยชน์ใช้สอย เสื้อสูททรงตรง กางเกงขายาว และรองเท้าหนังเป็นชุดมาตรฐาน สีส่วนใหญ่เป็นโทนเข้มเรียบง่าย

 

7. แฟชั่นยุค 1950s – ยุคแห่งความเฟมินีน

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ผู้คนเริ่มกลับมามีชีวิตที่มั่นคงอีกครั้ง ความหรูหราและความงามแบบผู้หญิง (femininity) จึงกลับมาเป็นหัวใจสำคัญของวงการแฟชั่นอย่างเต็มตัว แฟชั่นยุค 1950s จึงเป็นยุคที่สะท้อนถึง “ความอ่อนหวาน ความสง่างาม และความมั่นใจของผู้หญิง” อย่างแท้จริง

ชุดเดรสกระโปรงบาน คอร์เซ็ต และความเป็นผู้หญิงถูกเน้นมากขึ้น สไตล์ของ Christian Dior "New Look" มีอิทธิพลสูงในยุคนี้

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุค 1950s

เสื้อผ้าผู้หญิง

- “New Look” ของ Christian Dior
จุดเปลี่ยนสำคัญของแฟชั่นยุคนี้คือการเปิดตัวคอลเลกชัน “New Look” ในปี 1947 โดย Christian Dior ที่เน้นรูปร่างผู้หญิงให้มี เอวคอด ช่วงอกอวบ กระโปรงบานยาวคลุมเข่า กลับคืนสู่ความหรูหราและความอ่อนโยนหลังยุคสงครามอันแข็งกร้าว
 

- โครงเสื้อแบบ Hourglass Silhouette
แฟชั่นสตรีในยุคนี้นิยมเสื้อรัดเอวและกระโปรงบานทรง A-line หรือทรงวงกลม เพื่อเน้นเส้นโค้งเว้าของรูปร่าง ทำให้ดูสง่างามและเป็นผู้หญิงเต็มตัว
 

- ผ้าและสีสัน
เสื้อผ้านิยมใช้ผ้าฝ้าย ผ้าไหม และผ้าซาติน มีลวดลายดอกไม้ โพลก้าดอท และลายทาง สีสันสดใส เช่น ชมพู ฟ้าอ่อน แดง และเหลืองพาสเทล เพื่อสื่อถึงความร่าเริงและชีวิตที่สดใหม่
 

- ทรงผมและเครื่องประดับ
ทรงผมยอดนิยมคือทรงลอนคลื่น (Soft Curls), ทรงม้วนปลาย (Poodle Cut), และการผูกผ้าคาดผม ส่วนเครื่องประดับมักเป็นไข่มุก ต่างหูห่วง และถุงมือขาว เพื่อเสริมลุคให้ดูหรูหราและสุภาพแบบสตรีชั้นสูง

 

เสื้อผ้าผู้ชาย

ผู้ชายยุคนี้แต่งกายเรียบร้อยและมีสไตล์มากขึ้น สูทเข้ารูป เสื้อเชิ้ตคอแข็ง กางเกงขายาวทรงตรง และหมวกเฟโดร่า (Fedora Hat) เป็นลุคมาตรฐานของสุภาพบุรุษยุคหลังสงคราม ขณะเดียวกันก็เกิด “สไตล์หนุ่มกบฏ” (Rebel Look) เช่น เสื้อหนัง แจ็กเก็ตยีนส์ และกางเกงยีนส์ ที่ได้รับอิทธิพลจากไอดอลอย่าง James Dean และ Marlon Brando

 

8. แฟชั่นยุค 1960s – 1980s

ช่วงเวลาระหว่าง ทศวรรษ 1960s ถึง 1980s ถือเป็น “ยุคทองของแฟชั่นโลก” ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งในด้าน วัฒนธรรม ดนตรี การเมือง และเทคโนโลยี ซึ่งล้วนส่งอิทธิพลต่อแนวทางการแต่งกายของผู้คนอย่างชัดเจน

แฟชั่นไม่ได้เป็นเพียง “เสื้อผ้า” อีกต่อไป แต่กลายเป็น เครื่องมือแสดงตัวตน ความคิด และอุดมการณ์ของยุคสมัย ทำให้แต่ละทศวรรษมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ดีไซเนอร์ยุคใหม่จนถึงปัจจุบัน


 

แฟชั่นยุค 1960s – ปฏิวัติวงการแฟชั่น สู่ความอิสระและสีสัน

ในช่วงทศวรรษ 1960s โลกเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ แฟชั่นในยุคนี้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมป๊อป (Pop Culture)  ผู้หญิงเริ่มเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางเพศและความเท่าเทียม ผู้หญิงเริ่มแต่งตัวสั้นขึ้น กล้าโชว์ผิวมากขึ้น และไม่ยึดติดกับกรอบแฟชั่นแบบเดิม ๆ ส่งผลให้แฟชั่นสะท้อนความมั่นใจ ความสดใส และความกล้าแตกต่างจากอดีต

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุค 60s:

- Mini Skirt หรือกระโปรงสั้นเหนือเข่า ที่สร้างปรากฏการณ์โดย Mary Quant

- ชุดเดรสทรงเอ (A-Line Dress) และเดรสคัตติ้งเรียบแต่ใช้ สีสดใสหรือลายเรขาคณิต

- การใช้ วัสดุใหม่ๆ อย่าง PVC, Vinyl, พลาสติก และโลหะสีเงิน ที่ให้ลุค “อนาคต”

- ลวดลาย กราฟิกเรโทร และสีสันสดใส เช่น เหลือง ส้ม ม่วง เขียวมิ้นต์
- รองเท้า Go-go boots และการแต่งหน้าแนว Mod Look (ขนตาหนา ตากลมโต)

- การแต่งหน้าเน้นดวงตาโต ขนตาหนา ปากสีอ่อน ได้แรงบันดาลใจจากนางแบบดัง Twiggy
 

- ผู้ชายเริ่มนิยมใส่ เสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายดอก หรือแนว ฮิปปี้ (Hippie) ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ

- สไตล์ “Mod” จากอังกฤษ และ “Hippie” จากอเมริกา กลายเป็นวัฒนธรรมย่อยที่แพร่หลายทั่วโลก
 

แฟชั่นยุค 1970s – ความหลากหลายแห่งอิสรภาพ ดนตรี และสไตล์

ทศวรรษ 1970s ยุคนี้เป็นช่วงที่แฟชั่นสะท้อนถึงเสรีภาพ ความสนุก คือช่วงเวลาที่แฟชั่นก้าวเข้าสู่ความหลากหลายอย่างแท้จริง เพราะได้รับอิทธิพลจากดนตรี วัฒนธรรม และแนวคิดทางสังคมหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ดิสโก้ (Disco), โบฮีเมียน (Bohemian), พังก์ (Punk) และ ย้อนยุค (Retro) ยุคแห่งฮิปปี้, เสื้อผ้าลายดอก, กางเกงขาม้า, เสื้อเชิ้ตหลวม ความเป็นธรรมชาติ

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุค 70s:

- เสื้อผ้าแนว โบฮีเมียน (Boho style) เช่น เสื้อครอป เสื้อคลุมพิมพ์ลายดอก ผ้าฝ้าย หรือผ้าปักที่ดูอิสระ

- กางเกงขาม้า (Flared Pants) และ เสื้อเชิ้ตคอปกใหญ่ ที่ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง

- ชุดจัมป์สูท (Jumpsuit) และ ผ้าซาติน / เมทัลลิก ที่สะท้อนแสงไฟดิสโก้อย่างโดดเด่น

- การแต่งตัวแนวพังก์ (Punk Fashion) – เสื้อหนัง รอยขาด หมุดเหล็ก และรองเท้าบูตหนา
- การใช้วัสดุอย่าง กำมะหยี่ หนัง และเดนิม
- เเครื่องประดับขนาดใหญ่ เช่น ต่างหูห่วง สร้อยลูกปัด และรองเท้าแพลตฟอร์ม

 

 แฟชั่นยุค 1980s – ความมั่นใจ พลัง และสีสันแห่งโลกดิจิทัล

ยุค 1980s ยุคแห่งพลังและความโดดเด่น เป็นช่วงเวลาที่แฟชั่นสะท้อน “พลังของความมั่นใจ” อย่างชัดเจน การเติบโตของสื่อโทรทัศน์และช่อง MTV ทำให้ศิลปินกลายเป็นต้นแบบการแต่งกายของคนรุ่นใหม่ แฟชั่นจึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เพื่อ “โดดเด่น” และ “แสดงอำนาจในสังคม”

 

เสื้อผ้าโอเวอร์ไซส์ ไหล่ตั้ง สีสด ชุดสูททรงพลัง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่เริ่มมีบทบาทในโลกธุรกิจมากขึ้น

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุค 80s

- Power Suit & Shoulder Pads – เสื้อสูทไหล่ตั้งหรือมีฟองน้ำ สื่อถึงอำนาจของผู้หญิงทำงาน

- เสื้อโอเวอร์ไซส์ (Oversized) จับคู่กับกางเกงรัดรูปหรือเลกกิ้ง
- เสื้อ Crop top, กางเกงเอวสูง และ Leggings
- สีสันสดใสแบบ Neon เช่น ชมพู ฟ้า เขียว เหลือง

- แฟชั่นออกกำลังกาย (Aerobic Fashion) เช่น กางเกงเลกกิ้ง ที่คาดผม และเสื้อครอป

- เสื้อยืดลายวงดนตรี เสื้อหนัง และกางเกงยีนส์ฟอกสี สไตล์ร็อกเกอร์

- การใช้ สีสันสดใส เช่น ชมพู ฟ้า เขียวมะนาว ม่วงไฟฟ้า ที่สะท้อนพลังและความสดใหม่ของเทคโนโลยี
- วัสดุเงา เช่น หนัง มันวาว เมทัลลิก
- เครื่องประดับขนาดใหญ่ เช่น ต่างหูวงโต เข็มขัดหนา
- แรงบันดาลใจจากศิลปินป๊อป เช่น Madonna, Michael Jackson, David Bowie

 

9. แฟชั่นยุค 1990s – Minimalism

 

ยุคนี้เกิดจากความเบื่อหน่ายความฟู่ฟ่าของยุคก่อน ดีไซเนอร์จึงหันมาออกแบบเสื้อผ้าที่ “เรียบแต่ดูดี” เน้นโทนสีพื้น รูปทรงสะอาด และวัสดุคุณภาพดี

ผู้หญิงในยุคนี้เริ่มนิยมลุคที่ดู “ธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง” เช่น แต่งหน้าน้อย ผมเรียบตรง และเสื้อผ้าเรียบหรู

เสื้อผ้าแนวสตรีท, เดนิม, เสื้อยืดเรียบๆ กลับมาได้รับความนิยม พร้อมกับความเป็น "แฟชั่นที่เข้าถึงได้" มากขึ้น

ยุค 1990s: ลดทอน (Minimalism), สไตล์ grunge, เสื้อผ้าแนวสตรีท, ผสมผสานแนวต้านกระแส

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุค 1990s

- เสื้อผ้าเน้น โทนสีเรียบ เช่น ขาว ดำ เทา เบจ น้ำตาล
- รูปทรงเสื้อผ้าแบบ เรียบตรง ไม่มีโครงเยอะ เช่น เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด กางเกงทรงตรง
- วัสดุเน้นความ บางเบาและสวมใส่ง่าย เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือผ้าซาติน
- การแต่งตัวแบบ มิกซ์แอนด์แมตช์ (Mix & Match) ให้ดู effortless แต่มีสไตล์
- เสื้อผ้าแนว Slip dress หรือเดรสผ้าซาตินสายเดี่ยวแบบเรียบหรู
- รองเท้าผ้าใบสีขาว หรือรองเท้าบูทหุ้มข้อแบบเท่ ๆ
- แฟชั่นแนว Grunge จากอิทธิพลดนตรีร็อก เช่น เสื้อวงร็อก กางเกงยีนส์ขาด เสื้อเชิ้ตลายสก็อต



 

10. แฟชั่นยุคปัจจุบัน (2000s – ปัจจุบัน)

แฟชั่นตั้งแต่ช่วงปี 2000s จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคที่เต็มไปด้วย ความหลากหลายและไร้กรอบจำกัด (Diversity & Freedom of Style) เพราะเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดเทรนด์ ทุกคนสามารถเป็น “แฟชั่นไอคอน” ได้ในแบบของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเดินตามแบรนด์หรูหรือสไตล์ใดสไตล์หนึ่ง

แฟชั่นในยุคดิจิทัลมีความหลากหลายสูงมาก ทั้งการนำสไตล์เก่ามารีไซเคิล (Y2K, Vintage), การแต่งตัวตามไอคอนบนโซเชียลมีเดีย, ความยั่งยืน (Sustainable Fashion) และการใช้เทคโนโลยีในแฟชั่น เช่น AI, AR และวัสดุนวัตกรรม

 

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุค 2000s – ปัจจุบัน

- การผสมผสานสไตล์จากหลายยุค เช่น Y2K, Streetwear, Vintage, Techwear, Minimal, Aesthetic
- เสื้อผ้าที่เน้นความ สบาย ใส่ง่าย และดูเป็นธรรมชาติ เช่น เสื้อครอป กางเกงยีนส์เอวต่ำ เสื้อโอเวอร์ไซซ์
- โทนสีมีทั้ง พาสเทลเรียบหรู และ นีออนจัดจ้าน แล้วแต่เทรนด์ในช่วงนั้น
- แฟชั่นรักษ์โลก (Sustainable Fashion) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล และเสื้อผ้ามือสอง
- การกลับมาของ โลโก้แบรนด์ใหญ่ บนเสื้อผ้า (Logo Mania)
- แฟชั่น Genderless หรือ Unisex ที่ไม่จำกัดเพศในการแต่งตัว
- การแต่งกายเพื่อ “Self-Expression” คือแต่งตามสิ่งที่ชอบมากกว่าตามแฟชั่น


 

11.ศตวรรษที่ 21: แฟชั่นยุคดิจิทัล & แนวโน้มอนาคต

 

แฟชั่นในศตวรรษที่ 21 คือยุคแห่ง การปฏิวัติทางเทคโนโลยีและอัตลักษณ์ ที่แฟชั่นไม่ได้หยุดอยู่แค่ “เสื้อผ้า” อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นการผสมผสานระหว่าง ศิลปะ เทคโนโลยี และโลกเสมือนจริง (Digital World) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมนี้อย่างไม่เคยมีมาก่อน

- โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียเปลี่ยนวิธีที่แฟชั่นถูก “ค้นพบ” และ “เผยแพร่”
- แนวคิด Sustainable Fashion (แฟชั่นอย่างยั่งยืน), รีไซเคิล, upcycle, circular economy
- แฟชั่นไมโครเทรนด์ (micro-trend) ที่เปลี่ยนเร็วขึ้นตามวัฒนธรรมออนไลน์
- เทคโนโลยี เช่น แฟชั่นเสมือน (virtual fashion), AR/VR fitting, เสื้อผ้าสมาร์ท (smart textiles)
- ความสำคัญของอัตลักษณ์เฉพาะบุคคล (personal branding ผ่านแฟชั่น)

 

แนวโน้มแฟชั่นในอนาคต (Future Fashion Trends)

  1. AI Stylist & Virtual Influencer – ปัญญาประดิษฐ์จะกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการเลือกเสื้อผ้า
     

  2. Smart Clothing – เสื้อผ้าที่มีเทคโนโลยีในตัว เช่น ตรวจจับอุณหภูมิ หัวใจ หรือการเคลื่อนไหว
     

  3. Augmented Reality (AR) Shopping – การลองเสื้อผ้าผ่านกล้องมือถือหรือแว่น AR
     

  4. Digital-Only Fashion Brand – แบรนด์ที่ขายเฉพาะเสื้อผ้าเสมือนจริงในโลกออนไลน์
     

  5. Hyper-Personalization – การออกแบบแฟชั่นเฉพาะบุคคลด้วยข้อมูลจากผู้ใช้

 

 

ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์ นักออกแบบ หรือผู้ที่สนใจทั่วไป การเข้าใจ แฟชั่นยุคต่างๆ

อย่างลึกซึ้งคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาและสร้างเอกลักษณ์ในโลกแฟชั่น ความรู้ด้าน Fashion History

จะช่วยให้คุณสามารถสร้างผลงานที่ไม่เพียงสวยงามแต่ยังมีเรื่องราว และมีมูลค่าเชิงวัฒนธรรมที่แท้จริง

 

.

 

ติดตามชมเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอ

 
 
เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Praphatsorn
  • 0 Followers
  • Follow