57 Views
Slow Fashion เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโต้กับกระแส Fast Fashion ที่เร่งรีบและสิ้นเปลือง
โดย Slow Fashion เน้นความยั่งยืน ความใส่ใจในทุกรายละเอียด และการสร้างแฟชั่นที่มีคุณภาพสูง
- ใช้ วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผ้าฝ้ายออร์แกนิก ผ้าลินิน หรือผ้ารีไซเคิล
- ผลิตในจำนวนจำกัด เพื่อควบคุมคุณภาพและลดของเสีย
- ให้ความสำคัญกับแรงงานที่เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบผู้ผลิต
- เสื้อผ้าหนึ่งชิ้นอยู่ได้นาน ไม่ต้องซื้อบ่อย ๆ
Slow Fashion คือแนวคิดแฟชั่นที่เน้นคุณภาพ ความทนทาน และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม—หันหลังให้กับการผลิตจำนวนมากและวัฏจักรการซื้อขายรวดเร็ว
- จุดเด่น ได้แก่ ความใส่ใจในกระบวนการผลิต การใช้วัสดุธรรมชาติหรือรีไซเคิล และชิ้นงานที่อยู่ได้นาน
- ใครที่เรียนแฟชั่นดีไซน์ตามแนว slow fashion จะได้พัฒนาทักษะด้านการออกแบบที่ใช้งานได้จริง เรียนรู้เรื่องวัสดุอย่างลึกซึ้ง และเข้าใจวิธีสร้างสรรค์แฟชั่นที่มีความหมายเหนือการเป็นกระแส
สำหรับนักเรียนแฟชั่นดีไซน์ การเรียนในแนวทาง Slow Fashion จะได้ฝึกการออกแบบอย่างมีความหมาย พัฒนาทักษะการเลือกใช้วัสดุ และเรียนรู้วิธีสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนจริง ๆ
Fast Fashion หมายถึงแฟชั่นที่ผลิตเร็ว ราคาถูก และเปลี่ยนคอลเลกชันตามเทรนด์ตลอดเวลา แบรนด์ใหญ่ ๆ เช่น Zara, H&M, Shein ถือเป็นตัวแทนที่ชัดเจน
- เน้นการผลิตจำนวนมาก ต้นทุนต่ำ
- ออกคอลเลกชันใหม่เกือบทุกสัปดาห์เพื่อตามกระแส
- ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแฟชั่นราคาถูกได้ง่าย
- แต่ผลเสียคือ สิ้นเปลืองทรัพยากรและสร้างขยะจำนวนมหาศาล
- Fast Fashion เน้นผลิตสินค้าแฟชั่นราคาถูก จำนวนมาก และหมุนเวียนเร็ว ช่วยให้ตามเทรนอย่างรวดเร็ว
- ข้อดีคือเข้าถึงแฟชั่นล่าสุดในราคาย่อมเยา แต่มีปัญหาเรื่องคุณภาพต่ำ การใช้วัสดุที่ไม่ยั่งยืน และผลกระทบต่อแรงงาน
- ถ้ากำลังคิดจะเรียนแฟชั่นดีไซน์ในสายนี้ นักเรียนจะได้เรียนเทรนด์ล่าสุด และทักษะการพัฒนาแบบรวดเร็ว แต่ต้องรู้แนวทางการปรับปรุงสู่ความยั่งยืนด้วย
ในแง่การเรียนแฟชั่นดีไซน์ Fast Fashion สอนให้นักเรียนเข้าใจเรื่อง เทรนด์ การผลิตที่รวดเร็ว
และการออกแบบที่ตอบโจทย์ตลาดในทันที แต่ต้องเรียนรู้การปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป
หนึ่งในเหตุผลที่คนหันมาพูดถึง Slow Fashion vs Fast Fashion ก็คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม:
- Fast Fashion ใช้น้ำมหาศาลในกระบวนการผลิตสิ่งทอ
- มีการปล่อยสารเคมีลงสู่แม่น้ำและทะเล
- สร้างขยะสิ่งทอหลายล้านตันต่อปี
ในขณะที่ Slow Fashion ลดผลกระทบเหล่านี้โดยการเลือกวัสดุที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ทำให้ผู้บริโภคซื้อเสื้อผ้าน้อยลงแต่ใช้ได้นานขึ้น
การเรียน แฟชั่นดีไซน์ ในยุคปัจจุบันไม่ได้สอนแค่การวาดแบบหรือทำเสื้อผ้า แต่ยังรวมถึง:
การออกแบบเชิงยั่งยืน (Sustainable Design) → สอนให้นักเรียนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มออกแบบ
การเลือกวัสดุแฟชั่น (Fashion Material Study) → เรียนรู้ผ้าที่มีคุณภาพและเหมาะสมต่อการใช้งานจริง
การวิเคราะห์ตลาดแฟชั่น → ทำความเข้าใจว่าผู้บริโภคต้องการแบบไหน ระหว่าง slow หรือ fast fashion
การสร้างแบรนด์แฟชั่น → ตั้งแต่แบรนด์เล็ก ๆ ที่เน้น slow fashion ไปจนถึงการทำงานกับแบรนด์ fast fashion ระดับโลก
- ถ้าอยากสร้าง แบรนด์ที่ยั่งยืน มีเอกลักษณ์ → เลือกศึกษาและฝึกฝนในสาย Slow Fashion
- ถ้าอยากทำงานใน วงการแฟชั่นกระแสหลัก เข้าใจตลาดเร็ว → เรียนรู้ในสาย Fast Fashion แล้วต่อยอดไปสู่ความยั่งยืน
- แต่ที่ดีที่สุดคือ ผสมผสานทั้งสองแนวทาง รู้จักข้อดีข้อเสียของแต่ละด้าน เพื่อสร้างเส้นทางการออกแบบที่สมดุลและตอบโจทย์โลกอนาคต
ถ้ามองในเชิงการศึกษา:
- สาย Slow Fashion เหมาะกับคนที่อยากออกแบบแฟชั่นที่มีคุณค่า ยั่งยืน และแตกต่าง มีเวลาเรียนรู้พื้นฐานและวัสดุอย่างเข้มข้น
- สาย Fast Fashion เหมาะกับคนที่ต้องการความรวดเร็ว ตามเทรนด์ทันโลก และพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
รายงานแฟชั่นระดับโลกหลายฉบับบอกว่า อนาคตของแฟชั่นจะไม่ใช่ “Fast” หรือ “Slow” เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการรวมกัน เช่น:
- แบรนด์ใหญ่หันมาใช้ผ้ารีไซเคิลและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
- แบรนด์ท้องถิ่นที่เน้น Slow Fashion เริ่มใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การออกแบบ 3D และ Virtual Fashion Show เพื่อให้ทันสมัย
ดังนั้น การเรียนแฟชั่นดีไซน์ยุคนี้จึงควรเปิดรับทั้งความเร็วและความยั่งยืนในเวลาเดียวกัน
ลงคอร์สด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน (Sustainable Fashion)
ฝึกใช้วัสดุธรรมชาติ และรีไซเคิล
รวมความคิดสร้างสรรคําผสมเทคโนโลยี เช่น 3D Design, Digital Printing และวัสดุใหม่ ๆ
ทำโปรเจกต์ออกแบบโดยให้ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมจริง เช่น capsule collections
ปลูกฝังแนวคิดจริยธรรมในการผลิตเสื้อผ้า
- มหาวิทยาลัยและสถาบันหลายแห่งมีหลักสูตรออกแบบแฟชั่นที่ครอบคลุม การเลือกวัสดุยั่งยืน, การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างวงจรชีวิตสินค้า
- งาน workshops ที่สอนวิธีใช้ผ้ารีไซเคิล หรือ workshop กับชุมชนท้องถิ่น ก็เป็นทางเลือกเจ๋ง ๆ สำหรับการเรียนรู้แนวสร้างสรรค์และเป็นมิตรต่อโลก
Slow Fashion vs Fast Fashion คือศึกแฟชั่นระหว่างความใส่ใจและความเร็ว เลือกตามเป้าหมายการออกแบบของตัวเองให้ถูกทาง
นักเรียนแฟชั่นดีไซน์ควรเข้าใจทั้งสองฝั่งเพื่อสร้างเส้นทางตัวเองที่สร้างสรรค์และยั่งยืน พร้อมทักษะการเรียนรู้ของโลกยุคใหม่
Slow Fashion vs Fast Fashion ไม่ได้เป็นเพียงการเลือกซื้อเสื้อผ้า แต่เป็นแนวคิดที่สะท้อนอนาคตของวงการแฟชั่น
ใครที่สนใจเรียนแฟชั่นดีไซน์จำเป็นต้องเข้าใจทั้งสองแนวทาง
เพื่อเลือกเส้นทางการออกแบบที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ และสร้างแบรนด์ที่ทั้งทันสมัยและยั่งยืน
ติดตามชมเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอ