เมื่อก้าวเข้าสู่การทำงานปีแรก หลายคนที่เป็น First Jobber มักจะโฟกัสไปที่การเรียนรู้งาน เก็บเงิน หรือแม้กระทั่งการหาความสุขจากรายได้ก้อนแรก แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามคือ “การทำประกัน” เพราะประกันไม่ได้เป็นภาระ แต่คือเครื่องมือวางแผนชีวิตและสร้างหลักประกันทางการเงินในอนาคต คำถามคือแล้ว ประกันแบบไหนที่ First Jobber ควรเริ่มคิดถึงตั้งแต่ปีแรก บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจทีละขั้นตอนอย่างละเอียด
หลายคนอาจคิดว่าอายุน้อย สุขภาพแข็งแรง และมีสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมก็เพียงพอแล้ว แต่ในความจริง ความเสี่ยงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือภาระค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน การทำประกันตั้งแต่ช่วงอายุยังน้อยมีข้อดีคือ เบี้ยประกันมักถูกกว่า และมีโอกาสได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าในอนาคต นอกจากนี้ การทำประกันยังช่วยสร้างวินัยทางการเงิน เพราะคุณจะต้องจัดสรรรายได้บางส่วนเพื่อความคุ้มครองและความมั่นคงระยะยาว
สำหรับ First Jobber ประกันสุขภาพถือเป็นประกันอันดับต้น ๆ ที่ควรทำ เพราะแม้จะมีสิทธิประกันสังคม แต่ข้อจำกัดคือ โรงพยาบาลที่เลือกได้มีจำกัด และบางครั้งไม่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในกรณีเฉพาะ ประกันสุขภาพส่วนตัวจึงเป็นตัวช่วยสำคัญ สิ่งที่ควรพิจารณา เช่น
- ความคุ้มครองผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD)
- วงเงินค่าห้องและค่ารักษาพยาบาล
- เงื่อนไขเรื่องโรคที่เป็นมาก่อน (Pre-existing Condition)
การมีประกันสุขภาพที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า หากเกิดเหตุไม่คาดคิดจะไม่กระทบต่อการเงินจนทำให้ต้องใช้เงินเก็บที่เพิ่งเริ่มสะสม
วัยเริ่มทำงานมักเต็มไปด้วยกิจกรรม ทั้งการเดินทางไปทำงาน เล่นกีฬา หรือท่องเที่ยว ทำให้โอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าที่คิด ประกันอุบัติเหตุ (PA) จึงเป็นอีกทางเลือกที่ควรมี เนื่องจากเบี้ยไม่แพง แต่ให้ความคุ้มครองครอบคลุม เช่น ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ การชดเชยรายได้ระหว่างพักฟื้น และเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สำหรับ First Jobber การเริ่มต้นด้วยประกันอุบัติเหตุถือเป็นจุดเริ่มที่ดี เพราะเป็นค่าใช้จ่ายไม่สูง แต่ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินได้มาก
หลายคนอาจมองว่าประกันชีวิตยังไม่จำเป็นในวัยทำงานปีแรก แต่ถ้ามีภาระหนี้ เช่น สินเชื่อการศึกษา หรือมีครอบครัวที่ต้องดูแล การมีประกันชีวิตจะช่วยให้คุณมั่นใจว่า หากเกิดเหตุไม่คาดคิด ครอบครัวจะไม่ต้องรับภาระหนี้แทน
ข้อดีของการเริ่มทำประกันชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยคือ เบี้ยถูกกว่าเมื่อเทียบกับการเริ่มทำตอนอายุเยอะ และคุณจะมีโอกาสเลือกความคุ้มครองที่หลากหลาย เช่น แบบตลอดชีพ แบบสะสมทรัพย์ หรือแบบคุ้มครองระยะสั้น
แม้อายุน้อย แต่โรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง หัวใจ หรือหลอดเลือดสมองก็สามารถเกิดขึ้นได้ การทำประกันโรคร้ายแรงตั้งแต่ยังไม่มีอาการเจ็บป่วยจะทำให้ได้รับความคุ้มครองทันทีที่จำเป็น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปฏิเสธคุ้มครองในอนาคต เบี้ยอาจดูสูงกว่าประกันสุขภาพทั่วไป แต่หากมองในมุมความคุ้มค่า การลงทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลหากเจ็บป่วยจริง
1. เริ่มจากประเมินรายได้และค่าใช้จ่าย ควรจัดสรรไม่เกิน 10-15% ของรายได้ต่อเดือนสำหรับเบี้ยประกัน
2. เปรียบเทียบหลายบริษัท ดูทั้งความคุ้มครอง รายละเอียด และบริการหลังการขาย
3. เลือกตามความจำเป็น เริ่มจากประกันสุขภาพหรืออุบัติเหตุก่อน แล้วค่อยเพิ่มความคุ้มครองอื่น ๆ ตามกำลัง
4. ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี ประกันบางประเภทสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
- ไตรมาส 1 เริ่มศึกษาข้อมูลและทำประกันอุบัติเหตุ
- ไตรมาส 2 จัดทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลัก
- ไตรมาส 3 หากมีภาระหนี้หรือครอบครัว ลองพิจารณาประกันชีวิต
- ไตรมาส 4 วางแผนเพิ่มประกันโรคร้ายแรงหรือแบบสะสมทรัพย์เพื่ออนาคต
การวางแผนทีละขั้นแบบนี้ช่วยให้ First Jobber ไม่รู้สึกว่าภาระหนักเกินไป และสามารถสร้างหลักประกันชีวิตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
การทำประกันไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของ First Jobber แต่เป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพในอนาคต ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ประกันชีวิต และประกันโรคร้ายแรง ล้วนเป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณาตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน การเริ่มต้นเร็วไม่เพียงช่วยประหยัดค่าเบี้ย แต่ยังทำให้คุณมีเกราะป้องกันทางการเงินที่แข็งแรงตั้งแต่ก้าวแรกของชีวิตการทำงาน
แหล่งข้อมูล
ประกันที่ใช่ สำหรับ First Jobber
'เด็กจบใหม่' และ 'First Jobber' เพิ่งเริ่มทำงาน เลือกทำ 'ประกัน' แบบไหนดี?