ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน และสิ่งยั่วยวนทางการตลาดมีอยู่รอบตัว การบริหารจัดการเงินให้ พอใช้และมีเก็บ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับใครหลายคน ไม่ว่าจะมีรายรับเท่าไหร่ ปัญหาการเงินติดขัด เงินไม่พอใช้ หรือไม่มีเงินเก็บเลย มักไม่ได้มาจากจำนวนเงินที่หาได้เพียงอย่างเดียว แต่มาจากวิธีการที่บริหารจัดการมันต่างหาก เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูเหมือนมีเงินใช้ไม่ขาดมือและยังมีเงินเก็บงอกเงย ทั้งที่รายรับอาจไม่ต่างจากมากนัก? บทความนี้จะเปิดเผย วิธีจัดการเงินเดือนให้พอใช้และมีเก็บได้ยังไง? ด้วยหลักการที่เข้าใจง่าย และเทคนิคที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อให้ควบคุมการเงินของตัวเองได้อย่างมั่นคง ลดความกังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ และสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งสู่ความมั่งคั่งในอนาคต
การจัดการเงินเดือนที่ดีไม่ได้มีแค่ประโยชน์ในระยะสั้นที่ทำให้เงินพอใช้ในแต่ละเดือน แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น
- ลดความเครียดและความวิตกกังวล ปัญหาการเงินเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความเครียด การมีแผนการเงินที่ชัดเจนช่วยให้คุณอุ่นใจ
- สร้างความมั่นคงในชีวิต การมีเงินสำรองฉุกเฉินช่วยให้คุณรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้โดยไม่ต้องเป็นหนี้
- บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ซื้อรถ ท่องเที่ยว หรือวางแผนเกษียณ การจัดการเงินที่ดีจะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายเหล่านั้นได้เร็วขึ้น
- เพิ่มโอกาสในการลงทุน เมื่อมีเงินเก็บ คุณก็จะมีโอกาสในการนำเงินไปต่อยอดให้งอกเงย
- อิสระทางการเงิน การควบคุมเงินได้หมายถึงการที่คุณเป็นนายของเงิน ไม่ใช่ทาสของเงิน ทำให้มีทางเลือกและอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น
การเริ่มต้นจัดการเงินตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกสู่การมีชีวิตที่ปราศจากความกังวลทางการเงิน
ก่อนจะเริ่มลงมือทำ ให้ทำความเข้าใจหลักการสำคัญ 3 ข้อนี้
รายรับสุทธิ คือเงินเดือนที่หักภาษี ประกันสังคม และอื่นๆ แล้ว คุณควรรู้จำนวนนี้ให้แน่ชัด
บันทึกทุกการใช้จ่าย นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในระยะแรก บันทึกทุกบาททุกสตางค์ที่เราใช้จ่าย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนเป็นเวลา 1-2 เดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมของพฤติกรรมการใช้เงินของเรา แยกประเภทรายจ่าย เช่น รายจ่ายคงที่ (Fixed Expenses) พวกค่าใช้จ่ายที่เท่ากันทุกเดือน เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโด, ค่าผ่อนรถ, ค่าเบี้ยประกัน, ค่าบริการรายเดือน (อินเทอร์เน็ต, Netflix) รายจ่ายผันแปร (Variable Expenses) ค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปในแต่ละเดือน เช่น ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าบันเทิง, ค่าช้อปปิ้ง หนี้สิน (Debts)ค่าผ่อนบัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล (ควรจัดลำดับความสำคัญในการชำระหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน)
- เป้าหมายระยะสั้น (1-3 ปี) เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน, เที่ยวต่างประเทศ, ซื้อของชิ้นใหญ่
- เป้าหมายระยะกลาง (3-10 ปี) เช่น ดาวน์รถ, ดาวน์บ้าน, ค่าเล่าเรียนลูก
- เป้าหมายระยะยาว (10+ ปี) เช่น เกษียณอย่างสุขสบาย, มี Passive Income
การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะสร้างแรงจูงใจให้คุณมีวินัยในการออมและลงทุน
เมื่อเข้าใจหลักการแล้ว นี่คือเทคนิคที่เราสามารถนำไปใช้เพื่อจัดการเงินเดือนของเรา
- 50% สำหรับความจำเป็น (Needs) ค่าใช้จ่ายคงที่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ค่าเช่า, ผ่อนบ้าน/รถ, ค่าอาหาร, ค่าสาธารณูปโภค, ค่าเดินทาง
- 30% สำหรับความต้องการ (Wants) ค่าใช้จ่ายที่ทำให้ชีวิตมีความสุขแต่ไม่จำเป็น เช่น ค่าบันเทิง, ท่องเที่ยว, ช้อปปิ้ง, กินข้าวนอกบ้าน, ค่าสมัครสมาชิกบริการต่างๆ
- 20% สำหรับการออมและชำระหนี้ (Savings & Debt Repayment) เงินเก็บฉุกเฉิน, เงินลงทุน, เงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว, ชำระหนี้บัตรเครดิต/สินเชื่อ
เมื่อเงินเดือนเข้า ให้แบ่งเงินตามสัดส่วนนี้ทันที โดยเฉพาะส่วน 20% ควรออมหรือโอนเข้าบัญชีเงินเก็บก่อนเป็นอันดับแรก (Pay Yourself First)
- สร้างงบประมาณ เมื่อรู้รายรับและรายจ่ายแล้ว ให้กำหนดงบประมาณสำหรับแต่ละหมวดหมู่ในแต่ละเดือน และพยายามยึดตามนั้น
- ใช้แอป/เครื่องมือช่วย ไม่ว่าจะเป็น แอปบันทึกรายรับรายจ่าย เช่น Spendee, Money Manager (by Realbyte Inc.), Wallet by BudgetBakers, หรือแอปของธนาคารที่คุณใช้ หรือตาราง Excel/Google Sheets: สร้างตารางง่ายๆ เพื่อบันทึกและติดตาม
- ทบทวนงบประมาณเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อดูว่าเราใช้งบประมาณไปเท่าไหร่ในแต่ละหมวดหมู่ และปรับแผนให้เหมาะสม
- โอนทันที ตั้งค่าให้ธนาคารโอนเงินจำนวนหนึ่งเข้าบัญชีเงินเก็บหรือบัญชีลงทุนของคุณโดยอัตโนมัติทันทีที่เงินเดือนเข้า
- แยกบัญชี มีบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวัน, บัญชีเงินเก็บ, และบัญชีลงทุน แยกจากกันชัดเจน เพื่อไม่ให้สับสน
- ทบทวน "ความต้องการ" มองหารายจ่ายในหมวด "ความต้องการ" (30%) ที่สามารถลดหรือตัดออกได้ เช่น ลดการซื้อกาแฟแพงๆ, ลดการกินข้าวนอกบ้าน, พิจารณายกเลิกบริการรายเดือนที่ไม่ค่อยได้ใช้
- เปรียบเทียบราคา ก่อนซื้อของชิ้นใหญ่ หรือใช้บริการอะไร ลองเปรียบเทียบราคาจากหลายแหล่ง
- ลูกหนี้ที่ดี หากมีหนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูง ควรจัดลำดับความสำคัญในการชำระหนี้เหล่านี้ก่อน เพราะดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะกัดกินเงินของคุณอย่างรวดเร็ว
- เทคนิค Snowball หรือ Avalanche คือ ชำระหนี้ก้อนเล็กที่สุดให้หมดก่อน (Snowball Method) แล้วนำเงินที่เคยจ่ายหนี้นั้นไปจ่ายหนี้ก้อนถัดไป หรือชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงสุดให้หมดก่อน (Avalanche Method) แล้วนำเงินที่เคยจ่ายไปจ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยรองลงมา
มีเงินเก็บเท่ากับรายจ่ายจำเป็น 3-6 เดือน เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ตกงาน, เจ็บป่วย, ซ่อมรถ
เช่น รับงานฟรีแลนซ์, ขายของออนไลน์, สอนพิเศษ และเมื่อมีเงินเก็บเพียงพอ เริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย (เช่น กองทุนรวม, หุ้น, อสังหาริมทรัพย์)
การจัดการเงินไม่ใช่การทำครั้งเดียวจบ แต่เป็นการเดินทางที่ต้องอาศัยวินัยและความสม่ำเสมอ
- ทบทวนเป็นประจำ ตรวจสอบแผนการเงินและงบประมาณของคุณอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อดูว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง
- ใจดีกับตัวเอง จะมีบางวันที่เราอาจจะใช้จ่ายเกินงบ หรือท้อแท้ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ จงให้อภัยตัวเองและกลับมาทำตามแผนใหม่
- ฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เมื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินเล็กๆ เช่น มีเงินเก็บครบเป้าหมายแรก หรือชำระหนี้บางก้อนหมด ให้รางวัลตัวเองเล็กน้อย เพื่อสร้างกำลังใจ
การ จัดการเงินเดือนให้พอใช้และมีเก็บได้ยังไง? นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่คุณได้รับเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับวินัยและวิธีการที่คุณบริหารจัดการมันต่างหาก ด้วยหลักการ 50/30/20, การบันทึกรายรับรายจ่าย, การตั้งงบประมาณ, การออมอัตโนมัติ และการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น คุณจะสามารถควบคุมการเงินของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความกังวล และก้าวไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่คุณใฝ่ฝันได้อย่างมั่นคง จงเริ่มต้นสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มั่งคั่งและมีความสุขอย่างยั่งยืน