คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า "การเป็นหนี้" เป็นเรื่องที่น่ากลัวและควรหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด การเป็นหนี้ไม่ได้แย่เสมอไป และการไม่มีหนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรวยเสมอไปเช่นกัน แท้จริงแล้ว "หนี้" เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่งที่มีทั้ง ข้อดี ข้อเสีย ของการเป็นหนี้ ซึ่งความอันตรายจะขึ้นอยู่กับว่าเรานำมันไปใช้เพื่ออะไร
บทความนี้จะพาเราไปทำความเข้าใจแก่นแท้ของการเป็นหนี้ และเรียนรู้ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง หนี้ดีและหนี้เสีย เพื่อให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากหนี้ได้อย่างชาญฉลาดและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางการเงินที่ไม่จำเป็น
การเป็นหนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆ หากรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ หนี้จะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ใหญ่ขึ้นได้
การเป็นหนี้ช่วยให้เราเข้าถึงสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินกว่าที่จะซื้อด้วยเงินสดได้ เช่น การซื้อบ้าน, การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า หรือการกู้เงินเพื่อขยายธุรกิจ การเป็นหนี้ในลักษณะนี้เรียกว่าการใช้ "คันโยก" (Leverage) เพื่อให้สินทรัพย์ที่เราซื้อมาสามารถสร้างรายได้หรือมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตได้
ในบางสถานการณ์ การกู้ยืมเงินระยะสั้นสามารถช่วยให้เรามีเงินสดในมือเพื่อใช้จ่ายในเรื่องจำเป็น หรือเพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนฉุกเฉิน โดยที่เงินสดของเราไม่ต้องถูกตรึงไว้กับสินทรัพย์อื่นๆ
การมีหนี้และสามารถชำระคืนได้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างประวัติเครดิตที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขอสินเชื่อในอนาคต โดยเฉพาะสินเชื่อก้อนใหญ่ เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ
แม้จะมีข้อดี แต่หนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม และเป็นสาเหตุของปัญหาทางการเงินของคนจำนวนมาก
การเป็นหนี้ต้องแลกมาด้วยการจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ซึ่งทำให้ต้นทุนรวมของการซื้อสินค้านั้นๆ สูงขึ้น
หากรายได้ของเราไม่แน่นอนหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงานหรือเจ็บป่วย เราอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการเงินที่ใหญ่ขึ้น เช่น การถูกฟ้องร้องหรือการยึดทรัพย์
การมีภาระหนี้ต้องผ่อนชำระทุกเดือนทำให้เงินสดที่เหลืออยู่ในมือลดลง ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องและทำให้เราขาดอิสระในการใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขหรือตามเป้าหมายอื่นๆ ในชีวิต
หัวใจสำคัญของการบริหารหนี้คือการแยกแยะให้ออกว่าหนี้ที่เรากำลังจะก่อขึ้นนั้นเป็น "หนี้ดี" หรือ "หนี้เสีย"
คือหนี้ที่ใช้เพื่อการลงทุนหรือก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต หนี้ชนิดนี้จะช่วยให้สถานะทางการเงินของเราดีขึ้นในระยะยาว
ตัวอย่างหนี้ดี
- สินเชื่อบ้าน บ้านโดยส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และสามารถนำไปสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าได้
- สินเชื่อเพื่อการศึกษา การลงทุนในตัวเองด้วยการกู้เงินมาเรียนต่อจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและรายได้ในอนาคต
- สินเชื่อเพื่อการลงทุนหรือทำธุรกิจ การกู้เงินมาขยายกิจการหรือลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง
คือหนี้ที่ใช้เพื่อการบริโภค หรือซื้อสิ่งของที่มูลค่าลดลงตามกาลเวลา หนี้ชนิดนี้จะกัดกินเงินของเราและทำให้สถานะทางการเงินของเราแย่ลงในระยะยาว
ตัวอย่างหนี้เสีย
- หนี้บัตรเครดิตเพื่อการบริโภค การใช้จ่ายซื้อของที่ไม่จำเป็นด้วยบัตรเครดิตแล้วจ่ายขั้นต่ำทุกเดือน
- สินเชื่อรถยนต์ รถยนต์มีแต่มูลค่าลดลง และเมื่อซื้อมาก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มเติม
- สินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อการท่องเที่ยวหรือซื้อของฟุ่มเฟือย เป็นหนี้ที่ใช้เพื่อความสุขชั่วคราวแต่มีภาระผ่อนชำระในระยะยาว
1. ใช้หนี้เพื่อ "ลงทุน" ไม่ใช่เพื่อ "บริโภค" นี่คือกฎข้อแรกและสำคัญที่สุดในการสร้างความมั่งคั่ง
2.คำนวณความสามารถในการผ่อนชำระ ก่อนก่อหนี้ทุกครั้ง ควรคำนวณให้แน่ใจว่าภาระหนี้สินทั้งหมดของเราไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้ยังมีเงินเหลือใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเงินออม
3. พิจารณาอัตราดอกเบี้ย พยายามเลือกสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเมื่อมีหนี้หลายก้อน ควรเร่งชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน
การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากเราเข้าใจหลักการและเลือกใช้หนี้อย่างชาญฉลาด หนี้จะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น แต่หากใช้ผิดวิธี มันก็จะกลายเป็นกับดักที่ทำลายอนาคตทางการเงินของเรา
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
หนี้ดี vs หนี้เสียคืออะไร? หนี้แบบไหนทำให้เกิดผลดี
หนี้เสีย กับ หนี้ปกติ ต่างกันอย่างไร?
Good Debt vs. Bad Debt: Know the Difference