ปัญหาเรื่องภาษีถือเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนและน่าปวดหัวสำหรับมนุษย์เงินเดือนหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน บางคนอาจมองว่าภาษีเป็นเพียงภาระหน้าที่ที่ต้องจ่ายตามที่บริษัทคำนวณมาให้ แต่ความจริงแล้ว ภาษีที่มนุษย์เงินเดือนต้องรู้ มีมากกว่านั้น และการทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการ วางแผนภาษี เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าของตัวเองได้อย่างถูกกฎหมายบทความนี้จะทำหน้าที่เป็นคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะพาเราไปทำความเข้าใจพื้นฐานภาษีและวางแผนภาษีอย่างมืออาชีพไปด้วยกัน โดยเราจะเริ่มต้นจากหลักการง่ายๆ ไปจนถึงเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
ก่อนจะวางแผน เราต้องเข้าใจก่อนว่า "ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา" คืออะไรและมีที่มาอย่างไร โดยมี 3 ส่วนประกอบหลักที่ต้องทำความรู้จัก ประกอบไปด้วย
1. เงินได้พึงประเมิน (Assessable Income) คือรายได้ทุกประเภทที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเราในรอบปีภาษี (1 มกราคม - 31 ธันวาคม) สำหรับมนุษย์เงินเดือน รายได้หลักก็คือเงินเดือน, ค่าล่วงเวลา (OT), โบนัส, หรือเงินพิเศษอื่นๆ ที่ได้รับ
2. ค่าใช้จ่าย (Deductions for Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนดที่สามารถนำมาหักจากรายได้ของเราได้ เพื่อใช้ในการคำนวณภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน (เงินได้ประเภทที่ 1) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ในอัตรา 50% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
3. ค่าลดหย่อน (Tax Allowances) นี่คือ "หมัดเด็ด" ที่จะช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลง ค่าลดหย่อนเป็นสิทธิประโยชน์ที่รัฐมอบให้สำหรับค่าใช้จ่ายบางประเภทในชีวิต ซึ่งสามารถนำไปหักเพิ่มเติมจากเงินได้พึงประเมินได้อีกครั้ง โดยมีหลากหลายประเภท ทั้งส่วนตัว, ครอบครัว, การออม, การลงทุน, หรือแม้แต่การบริจาค
สูตรการคำนวณภาษีอย่างง่าย : (เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) = เงินได้สุทธิ ภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
การ ลดหย่อนภาษี คือหัวใจสำคัญของการวางแผนภาษีอย่างชาญฉลาด หากเราไม่ใช้สิทธิเหล่านี้ให้ครบถ้วน เราก็อาจจ่ายภาษีมากกว่าที่จำเป็น มาดูกันว่าสิทธิลดหย่อนที่มนุษย์เงินเดือนต้องรู้มีอะไรบ้าง
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว : 60,000 บาท (ทุกคนสามารถใช้ได้)
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส : 60,000 บาท (สำหรับคู่สมรสที่ไม่มีรายได้)
- ค่าลดหย่อนบุตร : 30,000 บาทต่อคน (ไม่จำกัดจำนวน)
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา : 30,000 บาทต่อคน (สำหรับบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี)
- เบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพ : สามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา : สามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาทต่อคน
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) : ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขการถือครอง
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) : ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณ โดยสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) : เงินที่นายจ้างและเราสมทบเข้ากองทุน จะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมาย
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ : ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับ SSF/RMF/Provident Fund และกองทุนอื่นๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย : สามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
- เงินบริจาค : การบริจาคให้องค์กรการกุศลสามารถลดหย่อนได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
เมื่อเรามีข้อมูลครบถ้วนแล้ว การ ยื่นภาษี ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป เริ่มจาก
- การรวบรวมเอกสาร เตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น หนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) จากบริษัท และเอกสารการซื้อสินค้า/บริการที่มีสิทธิลดหย่อนภาษี
- การคำนวณ ใช้สูตรด้านบนเพื่อคำนวณภาษีที่เราต้องจ่ายด้วยตัวเอง หรือใช้โปรแกรมคำนวณภาษีของกรมสรรพากรเพื่อความแม่นยำ
- การยื่นภาษี เราสามารถยื่นภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม ของทุกปี โดยช่องทางที่สะดวกที่สุดคือการยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (e-Filing) ซึ่งมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก และระบบจะช่วยคำนวณภาษีให้อัตโนมัติ
1. เริ่มต้นแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนถึงปลายปีจึงจะเริ่มวางแผน การวางแผนภาษีควรเริ่มต้นตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้เราสามารถทยอยซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีได้อย่างสม่ำเสมอ
2. ใช้สิทธิให้ครบ ลองตรวจสอบสิทธิลดหย่อนที่เกี่ยวข้องกับเราให้ครบถ้วน อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
3. มองการลดหย่อนให้เป็นการลงทุน ผลิตภัณฑ์อย่าง SSF หรือ RMF ไม่ได้แค่ช่วยลดหย่อนภาษี แต่ยังเป็นเครื่องมือในการออมและลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวอีกด้วย การซื้อ SSF และ RMF จึงเป็นเสมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากเรามีรายได้หลากหลายช่องทาง หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่ซับซ้อน การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือที่ปรึกษาทางการเงินจะช่วยให้เราวางแผนได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด
การทำความเข้าใจและวางแผนภาษีอย่างมืออาชีพถือเป็นส่วนหนึ่งของทักษะทางการเงินที่สำคัญสำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกคน เมื่อเราควบคุมเรื่องนี้ได้ เราก็จะสามารถบริหารจัดการเงินในกระเป๋าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้อย่างแน่นอน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
“การวางแผนภาษี”
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาง่าย ๆ พร้อมตัวอย่าง