ปัญหาโลกแตกของคนทำงานหลายคนก็คือ “เงินเดือนออกแป๊บเดียว ทำไมเงินหมดเร็วจัง?” บางคนตั้งใจจะออมเงินเท่าไหร่ก็ล้มเหลวทุกที รู้สึกเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเองและตัวเลขในบัญชีอย่างไม่รู้จบ จนกลายเป็นความเครียดสะสม หากเรากำลังรู้สึกแบบนี้ บทความนี้จะนำเสนอ เทคนิคออมเงินจากเงินเดือนแบบไม่เครียด ที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองการออมให้เป็นเรื่องสนุกและง่ายดายกว่าที่คิด เราจะไม่ได้พูดถึงการอดอาหาร หรือการอดซื้อของที่อยากได้ แต่จะพูดถึงการสร้างระบบที่ทำให้การออมเงินเกิดขึ้นได้เองโดยที่เราแทบไม่ต้องคิดเลย และไม่ต้องรู้สึกผิดกับการใช้ชีวิตปกติของเราอีกต่อไป บทความนี้คือคำตอบสำหรับทุกคนที่มองหาวิธี ออมเงินแบบไม่เครียด เพื่อสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคงในระยะยาว
ก่อนที่เราจะพูดถึงเทคนิคต่างๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับการออมเงินเสียใหม่ คนส่วนใหญ่มักมองว่าการออมคือการ "เอาเงินส่วนหนึ่งไปซ่อน" ทำให้รู้สึกว่าชีวิตขาดหายและต้องอดทน แต่ความจริงแล้ว การออมเงินคือการนำเงินในวันนี้ไปลงทุนในอนาคตของเราเอง มันคือการสร้าง "อิสรภาพ" และ "ทางเลือก" ให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการมีเงินสำรองฉุกเฉินยามป่วยไข้ การมีเงินดาวน์บ้านในฝัน การได้ไปเที่ยวที่ที่อยากไป หรือแม้แต่การมีเงินทุนสำรองไว้เพื่อเกษียณอายุอย่างสบายใจ เมื่อเรามองว่าการออมคือการสร้างความมั่นคงและความสุขในอนาคต เราจะรู้สึกอยากทำและเต็มใจที่จะทำมากขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกบังคับ
นี่คือหลักการที่ทรงพลังที่สุดในการออมเงินและเป็นหัวใจสำคัญของ เทคนิคออมเงินจากเงินเดือน ที่ประสบความสำเร็จ การจ่ายให้ตัวเองก่อนหมายถึง การโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีออมทรัพย์ทันทีที่เงินเดือนเข้าบัญชี ไม่ใช่การรอใช้จ่ายก่อนแล้วค่อยเหลือเท่าไหร่ค่อยออม ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่เหลือเลย ดังนั้นเราควรเริ่มจาก
- กำหนดเป้าหมาย ตัดสินใจว่าจะออมเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เช่น 10%, 15% หรือ 20% หรืออาจเป็นตัวเลขที่แน่นอน เช่น 3,000 บาทต่อเดือน
- ตั้งค่าการโอนอัตโนมัติ ใช้แอปพลิเคชันของธนาคารเพื่อตั้งค่าการโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนไปยังบัญชีออมทรัพย์อีกบัญชีหนึ่งทันทีในวันเงินเดือนออก หรือในวันถัดไปที่เราสะดวก
- สร้างบัญชีแยก ให้แบ่งบัญชีเงินออกเป็นอย่างน้อย 2 บัญชี คือ "บัญชีใช้จ่ายรายวัน" และ "บัญชีออมทรัพย์" เพื่อป้องกันไม่ให้เราเผลอใช้เงินออมโดยไม่ตั้งใจ การมองไม่เห็นเงินออมจะช่วยให้เราไม่รู้สึกอยากใช้มัน
เมื่อใช้เทคนิคนี้ เงินจะถูกหักไปออมทันทีที่ได้รับมาเราจะสามารถบริหารจัดการเงินส่วนที่เหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะไม่รู้สึกว่าเงินหายไปไหน เพราะเราได้ตัดสินใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะกันส่วนนี้ไว้เพื่ออนาคต
การออมเงินแบบไร้จุดหมายมักจะล้มเหลวได้ง่าย เพราะเราไม่รู้ว่าจะออมไปเพื่ออะไร การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงจูงใจและทำให้การเดินทางสู่การออมสนุกขึ้น ลองใช้หลักการ SMART Goal มาปรับใช้กับการเงินของเรากัน SMART Goal ประกอบไปด้วย
- S - Specific (เฉพาะเจาะจง) : อยากออมเงินไปทำอะไร? เช่น "ออมเงินเพื่อเป็นเงินดาวน์บ้าน" หรือ "ออมเงินเพื่อเที่ยวญี่ปุ่น"
- M - Measurable (วัดผลได้) : ต้องใช้เงินเท่าไหร่? เช่น "ต้องมีเงินดาวน์บ้าน 500,000 บาท" หรือ "ต้องมีเงินเที่ยวญี่ปุ่น 50,000 บาท"
- A - Achievable (ทำได้จริง) : เป้าหมายนี้ทำได้จริงไหมเมื่อเทียบกับรายได้และระยะเวลา?
- R - Relevant (เกี่ยวข้อง) : เป้าหมายนี้มีความสำคัญกับเราจริงๆ หรือไม่?
- T - Time-bound (มีกรอบเวลา) : จะทำให้สำเร็จภายในเมื่อไหร่? เช่น "ภายใน 3 ปี" หรือ "ภายใน 1 ปี"เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น "ออมเงิน 50,000 บาทเพื่อเที่ยวญี่ปุ่นใน 1 ปี" เราจะรู้ทันทีว่าต้องออมเงินเดือนละประมาณ 4,200 บาท การมีตัวเลขที่ชัดเจนแบบนี้จะช่วยให้เรามีความมุ่งมั่นและไม่หลุดเป้าได้ง่าย
สำหรับใครที่เกลียดการทำบัญชีรายรับรายจ่ายแบบละเอียดจิปาถะ ลองใช้กฎ 50/30/20 ซึ่งเป็นวิธีการจัดสรรเงินเดือนที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น กฎ 50/30/20 ประกอบไปด้วย
- 50% สำหรับสิ่งที่จำเป็น (Needs) : ค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเช่าบ้าน/ผ่อนบ้าน, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร, ค่าสาธารณูปโภค (น้ำ, ไฟ, อินเทอร์เน็ต)
- 30% สำหรับสิ่งที่ต้องการ (Wants) : ค่าใช้จ่ายเพื่อความสุขส่วนตัวที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ค่าช้อปปิ้ง, ค่าดูหนัง, ค่าสังสรรค์, ค่าสมัครสมาชิกต่างๆ
- 20% สำหรับการออมและการลงทุน (Savings & Investments) : รวมถึงการชำระหนี้ด้วย เช่น เงินออมในบัญชี, กองทุนรวม, หรือการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิต
กฎนี้ช่วยให้เราสามารถใช้จ่ายได้อย่างสบายใจโดยที่ไม่รู้สึกผิด เพราะได้กันเงินสำหรับการออมไว้แล้วตั้งแต่แรก และยังมีเงินเหลือสำหรับความสุขส่วนตัวอย่างชัดเจน
ชีวิตในยุคดิจิทัลทำให้เราสามารถจัดการเรื่องเงินได้ง่ายขึ้นมาก ลองใช้ประโยชน์จากมันเพื่อลดความยุ่งยากในการบริหารเงิน
- ตั้งค่าการจ่ายบิลอัตโนมัติ ตั้งให้ค่าใช้จ่ายประจำเดือน เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าน้ำ ค่าไฟ ถูกหักจากบัญชีธนาคารอัตโนมัติ เราจะไม่ต้องกังวลว่าจะลืมจ่ายและโดนค่าปรับ
- ใช้แอปพลิเคชันบริหารเงิน มีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยบันทึกรายรับรายจ่ายอัตโนมัติผ่านการแจ้งเตือนจากธนาคาร หรือช่วยสรุปยอดการใช้จ่ายให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น เช่น Make by KBank หรือ Piggipo ช่วยให้เรามองเห็นว่าเงินไปอยู่ตรงไหนบ้างโดยไม่ต้องลงมือบันทึกเองทั้งหมด
หากการออมเงินก้อนใหญ่ดูน่ากลัวเกินไป ลองเริ่มจากก้อนเล็กๆ ที่ทำได้ง่ายๆ ในแต่ละวัน เช่น
- ออมแบงก์ 50 บาท เมื่อไหร่ที่ได้รับแบงก์ 50 บาทมา ให้เก็บแยกไว้ในกระปุกทันที
- ออมเหรียญ เก็บเหรียญทุกชนิดไว้ในกระปุกออมสิน เมื่อเต็มก็เอาไปฝากธนาคาร
- ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ก่อนซื้อของที่อยากได้ ลองถามตัวเองว่า "จำเป็นจริงๆ ไหม?" หรือ "ถ้าไม่ซื้อจะกระทบชีวิตไหม?" การตั้งคำถามสั้นๆ นี้ช่วยให้เราไตร่ตรองมากขึ้น
- ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ลองทบทวนดูว่ามีค่าสมัครสมาชิกรายเดือนอะไรที่เราไม่ได้ใช้บ่อยๆ บ้างหรือไม่ เช่น บริการสตรีมมิ่งที่สมัครไว้หลายเจ้า หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้แล้ว การยกเลิกสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มเงินออมได้โดยที่เราไม่รู้สึกว่าต้องลำบากเลย
การออมเงินไม่ใช่เรื่องยากหรือน่าเบื่ออีกต่อไป หากเรารู้จักปรับเปลี่ยนวิธีคิดและนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ การสร้างระบบที่ดีจะทำให้การออมเงินเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันและเมื่อเรามองกลับมาจะพบว่าเงินออมเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจโดยที่ไม่ได้รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
‘Pay Yourself First’ ความหมายและวิธีการของคำว่า “จ่ายให้ตัวเองก่อน”