หนึ่งใน Work & Career Future Trends ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานอย่างรวดเร็วและลึกซึ้งที่สุด คือการเข้ามามีบทบาทของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในสถานที่ทำงาน AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่เริ่มกลายเป็น "เพื่อนร่วมงาน" ที่ทำงานเคียงข้างมนุษย์ในหลากหลายบทบาท ตั้งแต่งานประมวลผลข้อมูล งานบริการลูกค้า ไปจนถึงการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า AI จะมาแทนที่งานหรือไม่ แต่คือ “เราจะอยู่ร่วมกับ AI อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสร้างคุณค่าในแบบที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้”
1. AI กับงานซ้ำ ๆ และงานเชิงวิเคราะห์ AI เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่มีลักษณะซ้ำ ๆ เช่น การป้อนข้อมูล การตอบคำถามลูกค้าด้วย Chatbot หรือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในระยะเวลาอันสั้น ระบบ Machine Learning และ NLP (Natural Language Processing) ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้เร็วและแม่นยำขึ้น
2. AI กับงานสร้างสรรค์ แม้ว่า AI จะสามารถสร้างภาพ แต่งเพลง หรือเขียนบทความได้ แต่การสร้างสรรค์ที่แท้จริงซึ่งผสมผสานอารมณ์ มนุษยธรรม และมุมมองเฉพาะตัวยังคงเป็นจุดเด่นของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การออกแบบเชิงศิลปะ หรือการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิต
3. AI กับการสื่อสารและการบริการลูกค้า ระบบอัตโนมัติสามารถให้บริการเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ความเข้าใจเชิงลึก การอ่านภาษากาย หรือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ายังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีกว่าในหลายกรณี
1. พัฒนาทักษะที่ AI แทนไม่ได้ (Human-centric Skills) เช่น ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity), ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence), การแก้ปัญหาอย่างซับซ้อน (Complex Problem-Solving), การเจรจาต่อรอง และภาวะผู้นำ ทักษะเหล่านี้เป็นจุดแข็งที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์
2. เรียนรู้การใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่คู่แข่ง แทนที่จะกลัว AI เราควรเรียนรู้วิธีใช้งานมันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ การใช้ Generative AI สร้างร่างเอกสาร หรือใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน
3. พัฒนาทักษะทางดิจิทัล (Digital Literacy) ในยุคนี้ ทุกคนควรเข้าใจพื้นฐานของเทคโนโลยี เช่น Data Literacy, การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น, การใช้ซอฟต์แวร์ AI และความเข้าใจด้าน Cybersecurity เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
4. เรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การเรียนรู้จึงไม่ควรจำกัดแค่ช่วงวัยใดวัยหนึ่ง เราต้องเปิดใจเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น เรียนออนไลน์ การเข้าอบรมระยะสั้น หรือการเข้าร่วมเวิร์กชอปต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI และดิจิทัล
5. ปรับวิธีคิดใหม่เกี่ยวกับงาน (Work Mindset Shift) จากเดิมที่วัดค่าของงานจากจำนวนชั่วโมงหรือความซ้ำซ้อนของหน้าที่ เราควรเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับ “คุณค่าที่เราสร้างได้” และ “ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น” มากกว่า งานในอนาคตจะไม่ได้อยู่ที่ว่าใครทำมาก แต่ใครสร้างผลลัพธ์ที่มีความหมายได้มากกว่า
1. มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือพันธมิตร การสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ระยะยาวเป็นสิ่งที่ต้องใช้หัวใจและการมีปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ซึ่ง AI ยังทำไม่ได้เต็มที่
2. เข้าใจบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอารมณ์ของผู้คนในบริบทที่เฉพาะเจาะจง เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถวิเคราะห์และปรับตัวได้ดีกว่า AI ที่ยังขาดบริบทเชิงลึกเหล่านี้
3. ใช้ความเป็นมนุษย์ในการเล่าเรื่อง (Storytelling) การสื่อสารที่ดีไม่ใช่แค่ข้อมูลครบถ้วน แต่ต้องมีเรื่องเล่า มุมมอง และอารมณ์ Storytelling ที่ดีสามารถโน้มน้าว สร้างแรงบันดาลใจ และเปลี่ยนพฤติกรรมได้
4. เชื่อมโยงหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน ความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ หรือศิลปะ เพื่อสร้างแนวคิดใหม่ ๆ เป็นจุดแข็งของมนุษย์ที่ยังยากจะถูกแทนที่ด้วยอัลกอริธึม
เมื่อ AI เป็นเพื่อนร่วมงาน เราไม่ควรมองว่ามันมาแย่งงาน แต่มองว่าเป็นโอกาสในการปลดล็อกศักยภาพใหม่ ๆ ในการทำงาน การปรับตัวให้ทันกับ Work & Career Future Trends ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจในเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ หากเราสามารถผสมผสานทั้งสองด้านได้อย่างลงตัว อนาคตของการทำงานจะไม่ใช่การแข่งกับ AI แต่คือการร่วมมือกับมันเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับโลกของเรา
แหล่งข้อมูล
อยู่รอดและอยู่ร่วมกับ AI อย่างมีความสุขในโลกที่เปลี่ยนแปลงวันต่อวัน