โดยทั่วไปแล้วหากเราเปลี่ยนงานทุก 1-2 ปี ต่อที่ทำงาน ถือว่า “เปลี่ยนงานบ่อย” ในมุมมองของ HR และองค์กร เพราะช่วงเวลาเท่านี้อาจยังไม่เพียงพอในการสร้างผลงานชัดเจน หรือรับผิดชอบโปรเจกต์ระยะยาวให้สำเร็จ
การเปลี่ยนงานไม่ได้เป็นเรื่องแย่เสมอไป หากเราวางแผนเปลี่ยนงานอย่างมีกลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น
การเปลี่ยนที่ทำงานจะทำให้เราได้เจอกับระบบการทำงานใหม่ ทีมใหม่ ปัญหาใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทักษะการปรับตัว การสื่อสาร และความเข้าใจในตลาดแรงงานหลากหลาย
โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนงานมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10-30% ต่อครั้ง เมื่อเทียบกับการปรับเงินเดือนในองค์กรเดิมที่อาจอยู่เพียง 3-5% ต่อปี
หากยังไม่แน่ใจว่าแนวทางไหนเหมาะกับคุณ การเปลี่ยนงานช่วยให้คุณสำรวจและหาตัวตนได้ไวขึ้น
แม้การเปลี่ยนงานบ่อยจะมีข้อดี แต่ก็ต้องระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น
HR บางรายอาจมองว่าคุณไม่มีความอดทน หรือไม่สามารถรับมือกับปัญหาในที่ทำงานได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการถูกคัดออกในรอบแรก
การเปลี่ยนงานก่อนโปรเจกต์จะจบ หรือก่อนผ่านรอบประเมินผลงานสำคัญ อาจทำให้เราเสียโอกาสในการเก็บ Portfolio ชิ้นงานหรือโปรเจกต์สำคัญ ที่สามารถเอามาสร้างผลงานต่อยอดให้กับเราได้
หากเราเปลี่ยนงานแต่ไม่พัฒนา “เชิงลึก” ในสายงาน เช่น การบริหารทีม หรือวางแผนกลยุทธ์ อาจทำให้การเติบโตในตำแหน่งระดับสูงช้าลง
HR สมัยใหม่ไม่ได้มองแค่ “คุณอยู่ที่เดิมนานแค่ไหน” แต่จะดูว่า “คุณเติบโตอะไรจากการเปลี่ยนแปลงนั้น” หากคุณสามารถอธิบายเหตุผลการเปลี่ยนงาน เช่น
- ย้ายเพราะต้องการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน
- เปลี่ยนเพื่อรับโอกาสบริหารทีม
- ย้ายเพราะองค์กรเดิมมีโครงสร้างที่ไม่สนับสนุนการเติบโต
เหตุผลเหล่านี้สามารถเปลี่ยนจากจุดด้อย ให้กลายเป็นจุดเด่นใน RESUME ของเราได้
- ทำงานแต่ละที่ให้นานพอ (อย่างน้อย 18-24 เดือน)
- เปลี่ยนเพราะ "คุณค่า" ไม่ใช่แค่ "เงิน"
- เขียน RESUME ให้เน้น "ผลงาน" ไม่ใช่แค่ "ตำแหน่ง"
- มี Story ของเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนและต่อเนื่อง
- ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนเร็ว ควรมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลและตรงไปตรงมา