การบริหารบัญชีให้ได้มาตรฐานสากล ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากช่วยให้การจัดทำบัญชีมีความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้แล้ว ยังเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร พร้อมรองรับการขยายกิจการทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุน ภาษี และการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
- เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
- ลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดทางบัญชีและภาษี
- รองรับการตรวจสอบจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ
- เตรียมความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจสู่ตลาดสากล
การบัญชีในระดับสากล มีการกำหนดมาตรฐานที่ใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบการเงิน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินของกิจการในแต่ละประเทศได้อย่างโปร่งใสและเท่าเทียม โดยมาตรฐานบัญชีระดับสากลหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 3 ระดับใหญ่ ดังนี้
ออกโดย คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IASB) ใช้โดย ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์ ฯลฯ
ลักษณะเด่น
- เน้นความโปร่งใสและความสามารถในการเปรียบเทียบงบการเงินระหว่างประเทศ
- ใช้หลัก "principle-based" คือ เน้นแนวทางมากกว่าขั้นตอนตายตัว
- ใช้กับบริษัทจดทะเบียนและกิจการขนาดใหญ่
ตัวอย่างมาตรฐานที่อยู่ใน IFRS
- IFRS 15 รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า
- IFRS 16 สัญญาเช่า
- IFRS 9 เครื่องมือทางการเงิน
ออกโดย คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IASC เดิม) ก่อนจะถูก IASB แทนที่ ทั้งนี้ยังมีผลบังคับใช้ในบางมาตรฐานที่ยังไม่ถูกแทนที่ด้วย IFRS
ลักษณะเด่น
- เป็นชุดมาตรฐานบัญชีเดิมก่อน IFRS
- ยังใช้ควบคู่กับ IFRS เช่น IAS 1 (การนำเสนองบการเงิน), IAS 2 (สินค้าคงเหลือ), IAS 12 (ภาษีเงินได้)
ออกโดย IASB ใช้โดย กิจการที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ลักษณะเด่น
- เป็นมาตรฐานที่ลดความซับซ้อนของ IFRS เต็มรูปแบบ
- ออกแบบให้เหมาะสมกับธุรกิจที่มีขนาดเล็กกว่า และไม่มีข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลที่ยุ่งยาก
- ใช้ง่าย เข้าใจง่าย และยังคงความโปร่งใส
IFRS (International Financial Reporting Standards) เป็นมาตรฐานที่ใช้ในหลายประเทศทั่วโลก มุ่งเน้นความโปร่งใส และเปรียบเทียบข้ามกิจการได้ง่าย
TFRS (Thai Financial Reporting Standards) เป็นมาตรฐานที่ประเทศไทยปรับใช้จาก IFRS เหมาะสำหรับกิจการในประเทศ โดยเฉพาะ TFRS for SMEs ที่ใช้กับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก
เริ่มจากการวางโครงสร้างบัญชีที่ดี เช่น การแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว การใช้รหัสบัญชี (Chart of Accounts) ที่ชัดเจน และการบันทึกรายการให้ครบถ้วนและตรงเวลา
การใช้โปรแกรมบัญชีที่รองรับมาตรฐาน TFRS เช่น PEAK, FlowAccount, Xero หรือ QuickBooks จะช่วยให้สามารถจัดทำรายงานการเงินได้ถูกต้อง พร้อมทั้งลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล
ควรมี นักบัญชีวิชาชีพ (CPA) หรือที่ปรึกษาด้านบัญชี ที่เข้าใจหลักการของ IFRS/TFRS คอยตรวจสอบและแนะนำการจัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีความซับซ้อนด้านการเงิน
ระบบบัญชีที่ได้มาตรฐานควรถูกตรวจสอบเป็นระยะ และมีการอัปเดตเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมาย หรือแนวปฏิบัติใหม่ รวมถึงการฝึกอบรมทีมงานบัญชีอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นบิล ใบเสร็จ เอกสารภาษี หรือสัญญาต่าง ๆ ควรเก็บทั้งในรูปแบบกระดาษและดิจิทัล เพื่อการตรวจสอบ และใช้งานในอนาคต
- เข้าร่วมอบรมเกี่ยวกับ TFRS หรือมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง
- ทำงานร่วมกับสำนักงานบัญชีที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจของคุณ
- พิจารณาระบบบัญชีออนไลน์แบบ Cloud เพื่อความคล่องตัว
- ใช้ข้อมูลทางบัญชีเป็นเครื่องมือวิเคราะห์และตัดสินใจทางธุรกิจ
- ความมั่นใจจากนักลงทุนและคู่ค้า
- ข้อมูลการเงินที่แม่นยำ ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
- ลดต้นทุนและความผิดพลาดในระบบ
- ปรับตัวง่ายเมื่อมีกฎระเบียบใหม่ ๆ
- เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตระดับสากล
ข้อมูลอ้างอิง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ธนาคารแห่งประเทศไทย