การขอใบอนุญาตพาหนะทางน้ำ เป็นขั้นตอนสำคัญที่เจ้าของเรือทุกคนต้องดำเนินการตามกฎหมายไทย เพื่อให้สามารถใช้เรือหรือพาหนะทางน้ำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย การขอใบอนุญาตนี้เกี่ยวข้องกับ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยพาหนะทางน้ำ ซึ่งกำหนดรายละเอียดขั้นตอนการขอใบอนุญาตพาหนะทางน้ำ เอกสารที่ต้องใช้ และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติอย่างครบถ้วน หากคุณกำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีดำเนินการอย่างถูกต้อง
อ้างอิง “พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ํา ไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖” ในพระราชบัญญัตินี้ กล่าวว่า
“เรือ” หมายความว่า ยานพาหนะทางน้ำทุกชนิด ไม่ว่าจะใช้เพื่อบรรทุกลําเลียง โดยสาร ลาก จูง ดัน ยก ขุด หรือลอก รวมทั้งยานพาหนะอย่างอื่นที่สามารถใช้ในน้ำได้ทํานองเดียวกัน
ใบอนุญาตพาหนะทางน้ำ เป็นเอกสารสำคัญที่แสดงว่าเรือ หรือพาหนะทางน้ำของคุณได้ผ่านการจดทะเบียน และได้รับอนุญาตให้ใช้งานได้ตามกฎหมาย หากไม่มีใบอนุญาต อาจถูกปรับหรือดำเนินคดีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการรับรองความปลอดภัยของตัวเรือ ซึ่งส่งผลต่อประกันภัย และการใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวทางน้ำ
การขอใบอนุญาตพาหนะทางน้ำ เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ผู้มีพาหนะทางน้ำ เช่น เรือยนต์ เรือโดยสาร เรือประมง หรือเรือเพื่อการพาณิชย์ ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อให้สามารถใช้งานเรือได้อย่างถูกต้องตาม พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย และข้อกำหนดของ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยพาหนะทางน้ำ
การเตรียมเอกสารเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพื่อป้องกันการเสียเวลาเอกสารไม่ครบ โดยทั่วไปเอกสารที่ใช้ประกอบการขอใบอนุญาต ได้แก่
แบบฟอร์มคำขออนุญาตใช้พาหนะทางน้ำ กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ รายละเอียดเกี่ยวกับเรือ แบบฟอร์มนี้สามารถขอรับได้ที่สำนักงานเจ้าท่า หรือดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ
- สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของเรือ เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง หรือกรณีเป็นนิติบุคคล ต้องใช้หนังสือรับรองนิติบุคคล และสำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
- สำเนาทะเบียนบ้านของเจ้าของเรือ ใช้เพื่อยืนยันที่อยู่
- หลักฐานการได้มา หรือกรรมสิทธิ์ในเรือ เช่น สัญญาซื้อขายเรือ, ใบเสร็จรับเงิน, ใบส่งมอบเรือจากผู้ผลิตหรือผู้ขาย และสำเนาทะเบียนเรือเก่า (กรณีโอนเรือ)
- ใบรับรองมาตรฐานตัวเรือ (ถ้ามี) ใช้กรณีเรือใหม่ หรือเรือที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากหน่วยงานที่รับรองแล้ว เช่น โรงงานผลิตเรือที่ได้มาตรฐาน
- รูปถ่ายตัวเรือ ด้านหน้า, ด้านข้าง, ด้านหลังของเรือ และต้องเห็นหมายเลขตัวเรือ (Hull Number) ชัดเจน (ถ้ามี)
- ใบรับรองการตรวจเรือ (กรณีจำเป็น) เรือที่มีขนาดใหญ่ หรือเรือเพื่อการพาณิชย์ จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบ และมีใบรับรองจากเจ้าหน้าที่เจ้าท่า
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทน) พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
- ใบเสร็จการชำระค่าภาษีเรือ (กรณีเรือที่ต้องเสียภาษีประจำปี) แนบเพื่อยืนยันว่าเรือไม่มีภาระค้างภาษี
หมายเหตุ : เอกสารอาจแตกต่างตามประเภทของเรือ และข้อกำหนดของสำนักงานเจ้าท่าในแต่ละพื้นที่
เมื่อเตรียมเอกสารครบถ้วน ให้นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นที่
- สำนักงานเจ้าท่ากลาง (ในกรุงเทพฯ)
- สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค (ต่างจังหวัด)
- หน่วยงานท้องถิ่นที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพาหนะทางน้ำ
เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวเรือ และความครบถ้วนของเอกสาร
หลังการยื่นเอกสาร เจ้าหน้าที่จะนัดหมายเพื่อตรวจสภาพเรือ ซึ่งรวมถึง
- ความแข็งแรงของตัวเรือ
- ระบบขับเคลื่อน
- อุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น เสื้อชูชีพ, ห่วงชูชีพ
- อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น ไฟสัญญาณ, ระบบดับเพลิง
- ความเหมาะสมในการใช้งานตามประเภทของพาหนะทางน้ำ
หากพบข้อบกพร่อง เจ้าหน้าที่อาจสั่งให้แก้ไขก่อนดำเนินการขั้นตอนถัดไป
เมื่อผ่านการตรวจสภาพเรือแล้ว ผู้ขอต้องชำระค่าธรรมเนียมที่กำหนด โดยอัตราค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับ
- ขนาดของเรือ (ระวางน้ำหนักตันกรอสส์)
- ประเภทการใช้งาน (ส่วนตัว หรือพาณิชย์)
- อายุกี่ปีที่ต้องต่ออายุใบอนุญาต
ตัวอย่างค่าธรรมเนียม
- เรือขนาดเล็ก : 100-500 บาท
- เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ : หลายพันบาทขึ้นไป
เมื่อดำเนินการทุกขั้นตอนเรียบร้อย และเอกสารถูกต้องครบถ้วน เจ้าหน้าที่จะออกใบอนุญาตพาหนะทางน้ำ ซึ่งระบุข้อมูลสำคัญ เช่น
- ชื่อเจ้าของเรือ
- หมายเลขทะเบียนเรือ
- ข้อมูลจำเพาะของเรือ (ขนาด, วัสดุ, ระบบขับเคลื่อน)
- ระยะเวลาในการใช้ใบอนุญาต
ใบอนุญาตนี้ต้องนำติดไว้กับเรือทุกครั้งที่มีการใช้งาน
- ควรเตรียมเอกสารให้ครบทุกชุด และสำเนาอย่างน้อย 2 ชุด
- ตรวจสอบชื่อ-นามสกุล และหมายเลขเรือในเอกสารทุกใบให้ตรงกัน
- เซ็นรับรองสำเนาถูกต้องในทุกหน้าที่ทำสำเนา
- นำตัวจริงของเอกสารสำคัญไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ในวันยื่นคำขอด้วย
- หากมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของ ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ และแจ้งสำนักงานเจ้าท่าทันที
- ใบอนุญาตมีอายุการใช้งาน ต้องต่ออายุทุก 1-3 ปี แล้วแต่ประเภทเรือ
- ในกรณีที่ไม่ต่ออายุในระยะเวลาที่กำหนด อาจต้องเสียค่าปรับหรือดำเนินการใหม่ทั้งหมด
- เรือบางประเภท เช่น เรือยนต์ขนาดเล็กอาจได้รับการยกเว้นบางขั้นตอน แต่ควรตรวจสอบกับสำนักงานเจ้าท่าก่อนเสมอ
ข้อมูลอ้างอิง
กรมเจ้าท่า
สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา