Burnout คือ ภาวะเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจ ที่เกิดจากความเครียดเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นจากงาน ความคาดหวัง หรือสภาพแวดล้อมในชีวิต ผู้ที่ประสบภาวะ Burnout มักมีอาการหมดแรง เบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจ และรู้สึกไร้คุณค่า ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ สุขภาพ และประสิทธิภาพในการใช้ชีวิต
1. พักผ่อนอย่างมีคุณภาพ
การนอนหลับให้เพียงพอเป็นขั้นตอนแรกในการฟื้นฟูร่างกาย ลองกำหนดเวลานอนให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงหน้าจอมือถือก่อนนอน และสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เพื่อให้เราหลับลึกและตื่นมาพร้อมพลังใหม่
2. อยู่กับปัจจุบันผ่านการทำ Mindfulness
Mindfulness หรือ การฝึกสติ คือการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน โฟกัสอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเรา และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร และปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างที่มันเป็น โดยไม่ควบคุมหรือบังคับให้ตัวเองต้องรู้สึกอะไรบางอย่าง แค่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ
การฝึกทำ Mindfulness ช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของตัวเอง และลดความวิตกกังวล ลองใช้เวลาเพียง 5–10 นาทีต่อวัน ฝึกหายใจลึกๆ และรับรู้สิ่งรอบตัวอย่างสงบ
3. ลดภาระงาน และจัดลำดับความสำคัญ
หลังจาก Burnout ร่างกายและจิตใจยังไม่พร้อมรับมือกับความเครียดหนัก ควรเลือกทำเฉพาะงานสำคัญ จัดลำดับสิ่งที่ต้องทำ และอย่าลืม “อนุญาตให้ตัวเองได้พักด้วย”
4. ทำกิจกรรมที่ชอบและเติมพลังใจ
กลับไปทำสิ่งที่รัก เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป ปลูกต้นไม้ หรือแม้แต่ออกไปเดินเล่น การมีกิจกรรมเล็ก ๆ ที่สร้างความสุขจะช่วยเติมพลังให้จิตใจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
5. ออกกำลังกายเบา ๆ เป็นประจำ
การออกกำลังกายช่วยหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ดีต่ออารมณ์ แม้เพียงการเดินเร็ว 30 นาทีต่อวันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความสดชื่นทั้งทางกายและใจ
6. พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้
การได้ระบายหรือแบ่งปันความรู้สึกกับคนสนิท เป็นการบำบัดใจอย่างหนึ่ง อย่ากลัวที่จะบอกว่าเราเหนื่อย และอย่ารู้สึกผิดที่เราต้องการเวลาในการฟื้นฟู
7. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
หากอาการ Burnout ยังรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อรับการดูแลอย่างถูกต้อง เพราะบางครั้งเพียงการพูดคุยเชิงลึกก็สามารถปลดล็อกใจที่ติดอยู่ได้
- ตั้งขอบเขตชีวิตการทำงานให้ชัดเจน
- หมั่นทบทวนความรู้สึกของตนเอง
- ใช้วันลาหยุดให้เต็มที่เมื่อรู้สึกเหนื่อย
- ฝึกขอบคุณตัวเองและสิ่งรอบตัวเล็กๆ
- ดูแลร่างกายอย่างสม่ำเสมอ