1. วางแผนจัดเวลาให้ชัดเจน
การจัดลำดับความสำคัญของงานในแต่ละวันจะช่วยให้เราไม่รู้สึกว่างานท่วมตัว หมั่นใช้ To-do list หรือเทคนิค Time Management เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานเกินเวลา และแบ่งช่วงพักให้เหมาะสม ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลในการ ป้องกัน Burnout
2. เรียนรู้ที่จะ “พัก” อย่างแท้จริง
หลายคนเข้าใจว่าการพักคือการนั่งเฉยๆ หรือเล่นมือถือ แต่การพักที่ดีต้องช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง เช่น เดินเล่น สูดอากาศสดชื่น ดื่มน้ำเปล่า ฟังเพลง หรือหลับสั้นๆ 15-20 นาที วิธีเหล่านี้ช่วยฟื้นฟูสมองและลดความเครียดได้มากกว่าที่คิด
3. ตั้งขอบเขตเวลางานให้ชัดเจน
การทำงานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวเร่งให้เกิด Burnout ได้เร็วที่สุด ควรกำหนดเวลาเลิกงานอย่างชัดเจน ไม่ตอบอีเมลหรือรับสายงานนอกเวลาเว้นแต่กรณีจำเป็น การแยกชีวิตงานกับชีวิตส่วนตัวจะช่วยให้สมองได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พูดคุยและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
หากรู้สึกว่างานหนักเกินไป หรือเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า อย่าลังเลที่จะพูดคุยกับหัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงาน การแชร์ความรู้สึกหรือแบ่งงานบางส่วนออกไปสามารถลดภาระและความเครียดได้ อีกทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ในทีมที่ดีขึ้นอีกด้วย
5. หมั่นดูแลสุขภาพกายและใจ
การนอนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีผลต่อสุขภาพจิตอย่างมาก เพราะร่างกายที่แข็งแรงคือพื้นฐานของจิตใจที่มั่นคง เป็นการ ป้องกัน Burnout จากภายในอย่างแท้จริง
6. สร้างกิจกรรมที่เติมพลังนอกเวลางาน
อย่าปล่อยให้ชีวิตมีแต่งาน ลองหากิจกรรมที่เรารักหรือชอบทำดู เช่น อ่านหนังสือ วาดภาพ ปลูกต้นไม้ ออกกำลังกาย หรือเรียนรู้อะไรใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มด้านอื่นของชีวิต และลดความรู้สึกเบื่อหน่ายจากการทำงานซ้ำๆ ได้
7. สำรวจเป้าหมายและความหมายของการทำงาน
บางครั้งที่เรารู้สึกหมดไฟ เพราะลืมว่า “ทำไปเพื่ออะไร” ลองย้อนกลับไปดูว่าอะไรคือแรงบันดาลใจแรกเริ่มของเรา เป้าหมายของชีวิตคืออะไร การกลับมาเชื่อมโยงกับคุณค่าที่แท้จริงของการทำงาน จะช่วยให้เรากลับมามีพลังใจอีกครั้ง