คือ แนวคิดในการจัดสรรเวลาและพลังงานระหว่าง ชีวิตการทำงาน และ ชีวิตส่วนตัว ให้มีความสมดุล ไม่ใช่แค่ทำงานน้อยหรือใช้ชีวิตชิลๆ แต่คือการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เรามีสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความสุขที่ยั่งยืน
- ลดความเสี่ยงของ ภาวะหมดไฟ (Burnout)
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
- มีเวลาให้กับครอบครัว เพื่อน หรือสิ่งที่รัก
- ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ
- ช่วยให้มี คุณภาพชีวิตที่ดี และเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น
1. ตั้งขอบเขตเวลาในการทำงาน
กำหนดเวลาชัดเจนว่าเมื่อไหร่คืองาน เมื่อไหร่คือชีวิตส่วนตัว เช่น ปิดอีเมล หลัง 18.00 น. หรือไม่ตอบงานเสาร์-อาทิตย์ (เว้นแต่กรณีด่วน)
2. วางแผนล่วงหน้า
ใช้เครื่องมืออย่าง Google Calendar หรือ To-do List เพื่อวางแผนงานและเวลาให้มี “พื้นที่ว่าง” สำหรับพักผ่อนหรือใช้เวลากับครอบครัว
3. เรียนรู้ที่จะ “ปฏิเสธ”
ไม่ใช่ทุกอย่างต้องตอบรับ การกล้าปฏิเสธงานนอกเหนือหน้าที่ จะช่วยให้เรารักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น
4. ดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอันดับแรก
นอนให้พอ ออกกำลังกาย และหาเวลาพักผ่อน ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน การดูแลสุขภาพคือ “ทุนชีวิต” ที่สำคัญที่สุด
5. ตั้งเป้าหมายชีวิตควบคู่กับเป้าหมายงาน
อย่าทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร ให้ลองเขียนเป้าหมายส่วนตัวควบคู่ไปกับเป้าหมายงาน เช่น ปีนี้อยากเรียนโยคะ, อยากเดินทาง, อยากมีเวลากับครอบครัวให้มากขึ้น
สำหรับใครที่ทำงานที่บ้าน (Work from Home) Work-Life Balance ยิ่งท้าทายมากขึ้นเมื่อต้องทำงานที่บ้าน เพราะพื้นที่และเวลาพักผ่อน มักจะแยกออกยาก ลองใช้เทคนิคเหล่านี้
- แบ่งพื้นที่ทำงานออกจากพื้นที่ส่วนตัว
- ใส่เสื้อผ้าทำงานเพื่อสร้าง mindset ว่ากำลัง “ทำงาน”
- ตั้งเวลาเลิกงานและพักเท่าที่จำเป็น
- อย่าลืมหยุดพักสายตาและลุกเดินทุกชั่วโมง