ในระบบกฎหมายของไทย คดีที่เข้าสู่กระบวนการศาลแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือ “คดีแพ่ง” และ “คดีอาญา” ซึ่งทั้งสองประเภทมีความแตกต่างกันในหลายด้าน ทั้งเรื่องของผู้ฟ้องคดี จุดประสงค์ของการฟ้อง การพิจารณาคดี ไปจนถึงบทลงโทษ ดังนั้น การเข้าใจความแตกต่างระหว่างคดีแพ่ง และคดีอาญาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการใช้สิทธิทางกฎหมายในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
คดีแพ่ง (Civil Case) คือ คดีที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือระหว่างบุคคลกับนิติบุคคล เช่น บริษัทหรือองค์กร เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ หรือสัญญาทางกฎหมาย เช่น
การผิดสัญญาเช่าบ้าน
การยืมเงินแล้วไม่คืน
การละเมิด เช่น ทำของเสียหายแล้วไม่ชดใช้
การเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร
การแบ่งมรดกระหว่างทายาท
เป้าหมายของคดีแพ่ง : เพื่อให้ผู้กระทำการผิดชดใช้ค่าเสียหาย หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญา ไม่เกี่ยวข้องกับการจำคุกหรือโทษทางอาญา
คดีอาญา (Criminal Case) คือ คดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดซึ่งเป็นภัยต่อสังคมหรือรัฐ เช่น การฆาตกรรม ลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง ยาเสพติด ฯลฯ ซึ่งรัฐถือว่าเป็น “อาชญากรรม” และต้องมีการลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
ตัวอย่างคดีอาญา :
การลักทรัพย์ (ขโมยของ)
การทำร้ายร่างกาย (ชกต่อย ทำให้บาดเจ็บ)
การฉ้อโกง (หลอกเอาทรัพย์สินผู้อื่น)
การฆ่าคนตาย
คดียาเสพติด
เป้าหมายของคดีอาญา : เพื่อ “ลงโทษ” ผู้กระทำผิด เช่น จำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยมีอัยการเป็นตัวแทนของรัฐในการฟ้องร้อง
บางกรณีการกระทำผิดอย่างเดียว อาจมีผลทั้งทางแพ่ง และอาญาได้ เช่น
ตัวอย่าง : นาย ก ยืมเงินนาย ข แล้วไม่คืน และยังใช้เอกสารปลอมแสดงหลักฐานการคืนเงิน
นาย ข สามารถฟ้อง คดีแพ่ง เพื่อเรียกเงินคืน
และยังสามารถฟ้อง คดีอาญา ฐานฉ้อโกง และปลอมแปลงเอกสารได้
“คดีที่เป็นได้ทั้งแพ่งและอาญา” คือ คดีที่การกระทำความผิดหนึ่ง ๆ นอกจากจะมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาแล้ว ยังทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมายแพ่งควบคู่ไปด้วย กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นคดีที่สามารถดำเนินการทั้ง ในทางอาญาเพื่อเอาผิดผู้กระทำความผิด และในทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำผิด ได้ในเวลาเดียวกัน
การกระทำที่ ฝ่าฝืนกฎหมายอาญา และทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ซึ่งสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งได้
ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณา ทั้งโทษทางอาญา และค่าสินไหมทางแพ่ง ในคดีเดียวกันได้ (อ้างอิง : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44)
เช่น คนหนึ่งทำร้ายร่างกายอีกคนหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บ
ด้านอาญา : ผิดกฎหมายอาญา ฐานทำร้ายร่างกาย
ด้านแพ่ง : ผู้กระทำต้องชดใช้ค่าเสียหาย เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าทดแทนความเจ็บปวด
ผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิ 2 ทาง คือ
แจ้งความดำเนินคดีอาญา
ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง (จะรวมในคดีอาญาก็ได้ หรือแยกฟ้องทีหลังก็ได้)
ทำให้สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้ครบถ้วน
ได้รับการเยียวยาทั้งจากการลงโทษผู้กระทำผิด และการได้รับค่าชดเชยจากความเสียหายที่เกิดขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง
สำนักงานกิจการยุติธรรม
องค์การบริหารส่วนตำบลวังอิทก