การฟ้องคดีอาญา เป็นกระบวนการตามกฎหมายที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกระทำความผิดที่เข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญา เช่น การลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง หรือฆาตกรรม ซึ่งเป็นการกระทำที่กระทบต่อความสงบสุขของสังคม และละเมิดต่อกฎหมายของรัฐ ดังนั้น การดำเนินคดีอาญาจึงมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนด
คดีอาญา (Criminal Case) คือ คดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางกฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจน ได้แก่ โทษปรับ โทษจำคุก หรือโทษประหารชีวิต คดีอาญามีลักษณะพิเศษตรงที่ผู้กระทำผิดไม่ได้ละเมิดแค่บุคคล แต่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อรัฐ และสังคมด้วย โดยรัฐถือเป็นผู้เสียหายร่วม เนื่องจากการกระทำความผิดนั้นกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
ตัวอย่างคดีอาญา :
ลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์
ทำร้ายร่างกาย
ข่มขืนกระทำชำเรา
ฉ้อโกง ยักยอก
ฆ่าคนตายโดยเจตนา
1. พนักงานอัยการ (รัฐ) เป็นผู้มีหน้าที่ฟ้องคดีอาญาในนามของรัฐ ส่วนใหญ่คดีอาญาสาธารณะจะดำเนินโดยอัยการ เช่น คดีฆาตกรรม ยาเสพติด
2. ผู้เสียหาย (บุคคล) สามารถเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองได้ในบางกรณี โดยเฉพาะคดีอาญาแผ่นเอกชน เช่น หมิ่นประมาท ทำร้ายร่างกายไม่ร้ายแรง หรือคดีที่อัยการไม่ยอมฟ้อง ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องเอง
ผู้เสียหายหรือผู้พบเห็นการกระทำผิดสามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจในเขตเกิดเหตุ
พนักงานสอบสวนจะรับเรื่อง และทำการบันทึกถ้อยคำเบื้องต้น
หากพบว่ามีมูลความผิด ตำรวจจะเริ่มดำเนินการสอบสวนต่อ
ตัวอย่าง : หากคุณถูกข่มขู่ หรือถูกลักทรัพย์ ควรรีบแจ้งความทันที พร้อมพยานหลักฐานที่มี เช่น ภาพกล้องวงจรปิด หรือข้อความสนทนา
ตำรวจจะทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล เอกสาร วัตถุพยาน ฯลฯ
หากมีผู้ต้องหา ตำรวจจะออกหมายเรียก หรือหมายจับตามกรณี
การสอบสวนจะสิ้นสุดเมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอส่งฟ้อง
หมายเหตุ : ในบางคดี เช่น คดีฉ้อโกง จำเป็นต้องตรวจสอบหลักฐานทางการเงิน ซึ่งอาจใช้เวลาพอสมควร
เมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนจะจัดทำ สำนวนคดี และส่งให้ พนักงานอัยการ
อัยการจะตรวจสอบพยานหลักฐาน และพิจารณาว่าควรฟ้องหรือไม่
กรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง : ผู้เสียหายสามารถยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด หรือตัดสินใจฟ้องเองต่อศาลได้ (กรณีที่กฎหมายเปิดช่อง)
หากอัยการสั่งฟ้อง จะยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลอาญา หรือศาลจังหวัด ตามเขตอำนาจ
หากผู้เสียหายฟ้องเอง (เช่น คดีหมิ่นประมาท) ต้องยื่นคำฟ้องต่อศาลด้วยตนเอง
ข้อควรรู้ : ผู้เสียหายต้องแนบหลักฐานชัดเจนและครบถ้วน เพื่อไม่ให้คดีถูกยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
กรณีที่ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาด้วยตนเอง ศาลจะทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อนว่า คดีมีมูลหรือไม่
ถ้าศาลเห็นว่ามีมูล ศาลจะรับฟ้อง และดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป
ศาลจะกำหนดวันนัดพิจารณาคดี สอบพยาน ฝ่ายโจทก์ (อัยการ/ผู้เสียหาย) และฝ่ายจำเลย
พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดตามกระบวนการยุติธรรม
ศาลมีอำนาจตัดสินว่า จำเลยมีความผิดหรือไม่ และลงโทษตามกฎหมายหากมีความผิด
หลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว หากฝ่ายใดไม่พอใจ สามารถยื่น อุทธรณ์ ภายในเวลาที่กำหนดได้
หากยังไม่พอใจคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ สามารถยื่น ฎีกา ต่อศาลฎีกาในกรณีที่กฎหมายให้ฎีกาได้
บัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน
หลักฐานการกระทำผิด เช่น รูปถ่าย คลิปเสียง ข้อความ วัตถุพยาน
พยานบุคคล (ถ้ามี)
สำเนาใบแจ้งความ (กรณีฟ้องเอง)
ต้องฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่น คดีลักทรัพย์อายุความ 10 ปี หากพ้นแล้วจะฟ้องไม่ได้
การฟ้องคดีอาญาต้องมีหลักฐานชัดเจน เพื่อไม่ให้กลายเป็นการแจ้งความเท็จ
- ผู้เสียหายสามารถร้องขอค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาได้
- หรือแยกไปฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่งก็ได้
- จำเลยมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
- มีสิทธิให้ทนายความช่วยเหลือ และมีสิทธิยื่นอุทธรณ์/ฎีกาคำพิพากษา
ข้อมูลอ้างอิง
สำนักงานกิจการยุติธรรม
สถาบันนิติธรรมาลัย