การวางแผนภาษี เป็นหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) หรือบริษัทขนาดใหญ่ เพราะการบริหารภาษีอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพิ่มสภาพคล่อง และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
การวางแผนภาษี (Tax Planning) คือ การบริหารจัดการภาษีของธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดต้นทุนภาษีที่ต้องจ่าย
ข้อดีของการวางแผนภาษีที่ดี
ลดภาระภาษีโดยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างถูกต้อง
บริหารกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ไม่ต้องจ่ายภาษีมากเกินไป
ป้องกันปัญหาภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดการวางแผน
ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือในสายตาสรรพากรและนักลงทุน
ภาษีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในทุกธุรกิจ เพราะไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก ต่างก็ต้องมีภาระภาษีที่ต้องจัดการอย่างถูกต้อง และครบถ้วน การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระทางภาษีได้ในระดับหนึ่ง และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรเข้าใจภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตน และมีการวางแผนให้ดี
โดยทั่วไปแล้ว ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากกำไรสุทธิของนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
อัตราการเสียภาษี :
บริษัททั่วไป : เสียภาษีในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ
SMEs (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) :
กำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท : ยกเว้นภาษี
300,001 – 3,000,000 บาท : 15%
เกิน 3,000,000 บาท : 20%
ตัวอย่าง :
บริษัท A มีรายได้รวม 5,000,000 บาท
มีค่าใช้จ่ายรวม 3,000,000 บาท
กำไรสุทธิ = 2,000,000 บาท
บริษัท A เป็น SME
300,000 บาทแรก = ยกเว้น
1,700,000 บาท (ส่วนที่เหลือ) = 15% = 255,000 บาท
สรุปภาษีที่ต้องชำระ = 255,000 บาท
เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าของสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและจำหน่าย
อัตราการเสียภาษี :
อัตราปกติปัจจุบัน (อัปเดตปี 2567) : 7%
ธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT
ตัวอย่าง :
บริษัท B ขายสินค้าในราคา 100,000 บาท (ยังไม่รวม VAT)
คิด VAT 7% = 7,000 บาท
ราคาสินค้าพร้อม VAT = 107,000 บาท
บริษัท B ต้องนำ VAT 7,000 บาท ไปยื่นแบบ ภ.พ.30 และชำระภาษีรายเดือน
เป็นภาษีที่ผู้จ่ายเงินต้องหักไว้ก่อนจ่ายเงินให้คู่ค้า เช่น ค่าบริการ ค่าเช่า หรือค่าจ้าง แล้วนำไปยื่นชำระกับกรมสรรพากร
อัตราการเสียภาษี (โดยประมาณ) :
ค่าบริการทั่วไป = 3%
ค่าเช่า = 5%
ค่าจ้างวิชาชีพ (ทนาย, วิศวกร) = 5%
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม = 1%
ตัวอย่าง :
บริษัท C ว่าจ้างบริษัทรับทำบัญชี เดือนละ 20,000 บาท
หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% = 600 บาท
จ่ายจริงให้บริษัทบัญชี = 19,400 บาท
นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย 600 บาทต่อเดือนให้กรมสรรพากร
ใช้กับธุรกิจเฉพาะ เช่น ธนาคาร พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเงินทุน ฯลฯ ซึ่งไม่ต้องเสีย VAT แต่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแทน
อัตราการเสียภาษี :
ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เช่น
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ = 3% + อากรแสตมป์ 0.1%
ธุรกิจนายหน้าซื้อขายที่ดิน = 3.3%
ตัวอย่าง :
นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ขายบ้าน มูลค่า 2,000,000 บาท ได้ค่านายหน้า 60,000 บาท
ภาษีธุรกิจเฉพาะ = 60,000 × 3.3% = 1,980 บาท
คือภาษีที่เรียกเก็บจากการทำสัญญา หรือเอกสารสำคัญบางประเภท เช่น สัญญาเช่าทรัพย์สิน สัญญากู้ยืม สัญญาจ้างแรงงาน ฯลฯ
อัตราการเสียภาษี :
สัญญาเช่าทรัพย์สิน : 0.1% ของค่าเช่า
หนังสือสัญญากู้ยืม : 0.05% ของวงเงิน
ตัวอย่าง :
ธุรกิจ D ทำสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงาน 1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท
ค่าเช่ารวม 1 ปี = 240,000 บาท
อากรแสตมป์ = 240,000 × 0.1% = 240 บาท
การวางแผนภาษีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และช่วยให้ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น การวางแผนภาษีที่ดีต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
โครงสร้างของธุรกิจมีผลต่ออัตราภาษีที่ต้องจ่าย ดังนั้นการเลือกโครงสร้างที่เหมาะสมสามารถช่วยลดภาระภาษีได้ เช่น
บริษัทจำกัด มีข้อดีในเรื่องของการเสียภาษีนิติบุคคลในอัตราที่แน่นอน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด และธุรกิจเจ้าของคนเดียว อาจเสียภาษีในรูปของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งอัตราภาษีแตกต่างกันไป
บริษัทข้ามชาติ ควรพิจารณาการวางแผนโครงสร้างภาษีระหว่างประเทศให้เหมาะสม
รัฐมีมาตรการทางภาษีที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ เช่น
การหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าการตลาด ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน
สิทธิประโยชน์ BOI สำหรับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่ช่วยลดอัตราภาษี หรือให้สิทธิยกเว้นบางประเภท
การจัดทำบัญชีให้ถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงของการตรวจสอบภาษี
ใช้ประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด
บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่ปรึกษา ค่าการตลาด เป็นต้น
หากธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT
สามารถขอคืนภาษีซื้อ (Input VAT) ได้หากซื้อสินค้า หรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
การใช้เครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อช่วยลดภาระภาษีของธุรกิจ
การจ่ายเงินปันผลแทนการจ่ายเงินเดือนสามารถช่วยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การให้ผลตอบแทนในรูปแบบโบนัส หรือค่าจ้างอาจช่วยให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า
การใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือสวัสดิการพนักงานช่วยลดฐานภาษีได้
หากธุรกิจมีการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ควรใช้ข้อตกลงการป้องกันการเก็บภาษีซ้อน
การวางแผนการตั้งสำนักงาน หรือบริษัทในประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ
การบริหารราคาซื้อขายระหว่างบริษัทในเครือ (Transfer Pricing) ให้ถูกต้อง
การจัดการรายได้ และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมเพื่อให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำสุด
การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นหรือการลดหย่อนภาษีสำหรับบางประเภทธุรกิจ
การบริหารกำไรสะสม และขาดทุนทางบัญชีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ไม่จัดเก็บเอกสารบัญชีให้ครบถ้วน - ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ละเลยการยื่นภาษีตรงเวลา - ถูกปรับและเสียดอกเบี้ยเพิ่ม
ใช้ช่องโหว่ภาษีที่ผิดกฎหมาย - อาจโดนตรวจสอบและเสียค่าปรับจำนวนมาก
ไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี - ทำให้เสียโอกาสในการลดหย่อนภาษี
ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ภาษีทุกปี - ใช้สิทธิที่ธุรกิจมีให้คุ้มค่า
จ้างนักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษี - ลดความผิดพลาดในการยื่นภาษี
ใช้ซอฟต์แวร์บัญชี และระบบภาษีดิจิทัล - ช่วยจัดการเอกสาร และคำนวณภาษีได้แม่นยำ
ข้อมูลอ้างอิง
กรมสรรพากร