Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ เคล็ดลับที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณประหยัดเงิน

Posted By Kung_nadthanan | 04 เม.ย. 68
493 Views

  Favorite

 

การวางแผนภาษี เป็นหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) หรือบริษัทขนาดใหญ่ เพราะการบริหารภาษีอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพิ่มสภาพคล่อง และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

การวางแผนภาษีคืออะไร? ทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ ?

การวางแผนภาษี (Tax Planning) คือ การบริหารจัดการภาษีของธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดต้นทุนภาษีที่ต้องจ่าย

ข้อดีของการวางแผนภาษีที่ดี

- ลดภาระภาษีโดยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างถูกต้อง

- บริหารกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ไม่ต้องจ่ายภาษีมากเกินไป

- ป้องกันปัญหาภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดการวางแผน

- ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือในสายตาสรรพากรและนักลงทุน

ภาษีที่ธุรกิจต้องรู้จัก

ภาษีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในทุกธุรกิจ เพราะไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ต่างก็ต้องมีภาระภาษีที่ต้องจัดการอย่างถูกต้องและครบถ้วน การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระทางภาษีได้ในระดับหนึ่ง และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรเข้าใจภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตน และมีการวางแผนให้ดี

โดยทั่วไปแล้ว ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)

เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากกำไรสุทธิของนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

อัตราการเสียภาษี

บริษัททั่วไป : เสียภาษีในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ

SMEs (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) 

- กำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท : ยกเว้นภาษี

- 300,001 – 3,000,000 บาท : 15%

- เกิน 3,000,000 บาท : 20%

ตัวอย่าง

บริษัท A มีรายได้รวม 5,000,000 บาท
มีค่าใช้จ่ายรวม 3,000,000 บาท
กำไรสุทธิ = 2,000,000 บาท
บริษัท A เป็น SME

- 300,000 บาทแรก = ยกเว้น

- 1,700,000 บาท (ส่วนที่เหลือ) = 15% = 255,000 บาท

สรุปภาษีที่ต้องชำระ = 255,000 บาท

 

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax)

เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าของสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและจำหน่าย

อัตราการเสียภาษี

- อัตราปกติปัจจุบัน (อัปเดตปี 2567) : 7%

- ธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT

ตัวอย่าง

บริษัท B ขายสินค้าในราคา 100,000 บาท (ยังไม่รวม VAT)

- คิด VAT 7% = 7,000 บาท

- ราคาสินค้าพร้อม VAT = 107,000 บาท

- บริษัท B ต้องนำ VAT 7,000 บาท ไปยื่นแบบ ภ.พ.30 และชำระภาษีรายเดือน

 

3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)

เป็นภาษีที่ผู้จ่ายเงินต้องหักไว้ก่อนจ่ายเงินให้คู่ค้า เช่น ค่าบริการ ค่าเช่า หรือค่าจ้าง แล้วนำไปยื่นชำระกับกรมสรรพากร

อัตราการเสียภาษี (โดยประมาณ)

- ค่าบริการทั่วไป = 3%

- ค่าเช่า = 5%

- ค่าจ้างวิชาชีพ (ทนาย, วิศวกร) = 5%

- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม = 1%

ตัวอย่าง

บริษัท C ว่าจ้างบริษัทรับทำบัญชี เดือนละ 20,000 บาท

- หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% = 600 บาท

- จ่ายจริงให้บริษัทบัญชี = 19,400 บาท

- นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย 600 บาทต่อเดือนให้กรมสรรพากร

 

4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax - SBT)

ใช้กับธุรกิจเฉพาะ เช่น ธนาคาร พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเงินทุน ฯลฯ ซึ่งไม่ต้องเสีย VAT แต่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแทน

อัตราการเสียภาษี

ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เช่น

- ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ = 3% + อากรแสตมป์ 0.1%

- ธุรกิจนายหน้าซื้อขายที่ดิน = 3.3%

ตัวอย่าง

นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ขายบ้าน มูลค่า 2,000,000 บาท ได้ค่านายหน้า 60,000 บาท

- ภาษีธุรกิจเฉพาะ = 60,000 × 3.3% = 1,980 บาท

 

5. อากรแสตมป์ (Stamp Duty)

คือภาษีที่เรียกเก็บจากการทำสัญญา หรือเอกสารสำคัญบางประเภท เช่น สัญญาเช่าทรัพย์สิน สัญญากู้ยืม สัญญาจ้างแรงงาน ฯลฯ

อัตราการเสียภาษี

- สัญญาเช่าทรัพย์สิน : 0.1% ของค่าเช่า

- หนังสือสัญญากู้ยืม : 0.05% ของวงเงิน

ตัวอย่าง

ธุรกิจ D ทำสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงาน 1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท
- ค่าเช่ารวม 1 ปี = 240,000 บาท
- อากรแสตมป์ = 240,000 × 0.1% = 240 บาท

 

 

กลยุทธ์การวางแผนภาษีเพื่อประหยัดภาษีธุรกิจ

การวางแผนภาษีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และช่วยให้ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น การวางแผนภาษีที่ดีต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

1. การเลือกโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสม

โครงสร้างของธุรกิจมีผลต่ออัตราภาษีที่ต้องจ่าย ดังนั้นการเลือกโครงสร้างที่เหมาะสมสามารถช่วยลดภาระภาษีได้ เช่น

- บริษัทจำกัด มีข้อดีในเรื่องของการเสียภาษีนิติบุคคลในอัตราที่แน่นอน

- ห้างหุ้นส่วนจำกัด และธุรกิจเจ้าของคนเดียว อาจเสียภาษีในรูปของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งอัตราภาษีแตกต่างกันไป

- บริษัทข้ามชาติ ควรพิจารณาการวางแผนโครงสร้างภาษีระหว่างประเทศให้เหมาะสม

2. การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

รัฐมีมาตรการทางภาษีที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ เช่น

- การหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าการตลาด ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน

- สิทธิประโยชน์ BOI สำหรับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน

- มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่ช่วยลดอัตราภาษี หรือให้สิทธิยกเว้นบางประเภท

3. การบริหารค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องตามกฎหมาย

- การจัดทำบัญชีให้ถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงของการตรวจสอบภาษี

- ใช้ประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด

- บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่ปรึกษา ค่าการตลาด เป็นต้น

4. การใช้กลยุทธ์ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

- หากธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT

- สามารถขอคืนภาษีซื้อ (Input VAT) ได้หากซื้อสินค้า หรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

- การใช้เครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อช่วยลดภาระภาษีของธุรกิจ

5. การบริหารเงินปันผลและค่าตอบแทน

- การจ่ายเงินปันผลแทนการจ่ายเงินเดือนสามารถช่วยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

- การให้ผลตอบแทนในรูปแบบโบนัส หรือค่าจ้างอาจช่วยให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า

- การใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือสวัสดิการพนักงานช่วยลดฐานภาษีได้

6. การบริหารภาษีระหว่างประเทศ

- หากธุรกิจมีการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ควรใช้ข้อตกลงการป้องกันการเก็บภาษีซ้อน

- การวางแผนการตั้งสำนักงาน หรือบริษัทในประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ

- การบริหารราคาซื้อขายระหว่างบริษัทในเครือ (Transfer Pricing) ให้ถูกต้อง

7. การวางแผนภาษีเงินได้นิติบุคคล

- การจัดการรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมเพื่อให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำสุด

- การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นหรือการลดหย่อนภาษีสำหรับบางประเภทธุรกิจ

- การบริหารกำไรสะสมและขาดทุนทางบัญชีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการวางแผนภาษี

- ไม่จัดเก็บเอกสารบัญชีให้ครบถ้วน ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้

- ละเลยการยื่นภาษีตรงเวลา ถูกปรับและเสียดอกเบี้ยเพิ่ม

- ใช้ช่องโหว่ภาษีที่ผิดกฎหมาย อาจโดนตรวจสอบและเสียค่าปรับจำนวนมาก

- ไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ทำให้เสียโอกาสในการลดหย่อนภาษี

 

คำแนะนำสำหรับการวางแผนภาษีธุรกิจอย่างมืออาชีพ

- ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ภาษีทุกปี ใช้สิทธิที่ธุรกิจมีให้คุ้มค่า

- จ้างนักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษี ลดความผิดพลาดในการยื่นภาษี

- ใช้ซอฟต์แวร์บัญชี และระบบภาษีดิจิทัล ช่วยจัดการเอกสาร และคำนวณภาษีได้แม่นยำ

 

การวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะช่วยให้ธุรกิจประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้อง ลดต้นทุน และเพิ่มกำไร โดยใช้กลยุทธ์ภาษี

หากต้องการให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง อย่าลืมวางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้!

 

ข้อมูลอ้างอิง

กรมสรรพากร

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow