การลดหย่อนภาษี เป็นสิทธิที่ผู้เสียภาษีสามารถใช้เพื่อลดภาระทางภาษีของตนเองได้ตามกฎหมาย โดยการใช้ สิทธิประโยชน์ภาษี อย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณประหยัดเงินภาษีได้มากขึ้น และวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะอธิบายเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีประเภทต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
ค่าลดหย่อนส่วนตัว: ผู้มีเงินได้สามารถหักลดหย่อนได้ 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนคู่สมรส: หากคู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถหักลดหย่อนได้ 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนบุตร: สามารถหักลดหย่อนได้ 30,000 บาทต่อบุตรหนึ่งคน
ค่าใช้จ่ายในการศึกษาบุตร: สามารถหักลดหย่อนได้ 60,000 บาท
ค่าประกันสังคม: หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง
เบี้ยประกันชีวิต: หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนการออมแห่งชาติ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD): หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินเดือน และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับ RMF และกองทุนการออมแห่งชาติ
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับ RMF และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
เงินบริจาคทั่วไป: หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
เงินบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา และสาธารณประโยชน์: หักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
โครงการ Easy E-Receipt 2.0: ผู้เสียภาษีสามารถหักลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท จากการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) โดยแบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนที่ 1: ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีการออก e-Tax Invoice หรือ e-Receipt
ส่วนที่ 2: ลดหย่อนได้ไม่เกิน 20,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) หรือสินค้าจากวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่มีการออก e-Tax Invoice หรือ e-Receipt
หมายเหตุ: การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีควรตรวจสอบเงื่อนไขและข้อกำหนดที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี ควรติดตามข้อมูลจากกรมสรรพากรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความถูกต้องและครบถ้วน
การทำความเข้าใจและใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดภาษีได้อย่างเต็มที่
การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดภาษีและจัดการภาระภาษีอย่างชาญฉลาด การวางแผนภาษีที่ดีไม่เพียงช่วยลดภาระภาษี แต่ยังช่วยให้คุณสามารถออมเงินและลงทุนเพื่ออนาคตได้อีกด้วย ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก เคล็ดลับการใช้สิทธิประโยชน์ภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กรมสรรพากรมีมาตรการลดหย่อนภาษีหลายประเภท เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนครอบครัว เงินบริจาค และสิทธิพิเศษจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของแต่ละรายการช่วยให้คุณใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่
ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 บาท
ค่าลดหย่อนจากการลงทุน เช่น RMF, SSF, PVD
สิทธิประโยชน์จากโครงการรัฐ เช่น Easy E-Receipt 2.0
เคล็ดลับ: ตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์กรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้สิทธิได้ครบ
การวางแผนภาษีตั้งแต่ต้นปี ช่วยให้คุณไม่พลาดสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับและสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
การลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษี
RMF และ SSF สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แต่ต้องลงทุนตามเงื่อนไข
วางแผนทยอยลงทุนเป็นรายเดือนแทนการลงทุนก้อนใหญ่ช่วงปลายปี
การใช้สิทธิเงินบริจาค
เงินบริจาคเพื่อการศึกษาและสาธารณประโยชน์สามารถลดหย่อนได้ 2 เท่า
เลือกบริจาคในช่วงต้นปีเพื่อวางแผนการเงินได้ดีขึ้น
เคล็ดลับ: ใช้เครื่องคำนวณภาษีออนไลน์เพื่อดูว่าควรลงทุนหรือใช้สิทธิประโยชน์ภาษีอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การทำ ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ไม่เพียงช่วยลดหย่อนภาษี แต่ยังเป็นการวางแผนการเงินที่ชาญฉลาด โดยมีเงื่อนไขดังนี้
เบี้ยประกันชีวิต ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
เบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท
ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้ หรือไม่เกิน 200,000 บาท
เคล็ดลับ: เลือกแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมและมีผลตอบแทนที่ดี เพื่อให้ได้รับทั้งความคุ้มครองและสิทธิภาษีที่คุ้มค่า
หากคุณมีการกู้ซื้อบ้านหรือผ่อนบ้าน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ เช่น
ดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
เคล็ดลับ: หากกำลังวางแผนซื้อบ้าน ควรคำนวณภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับ
รัฐมักมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ เช่น
Easy E-Receipt 2.0: ลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท
โครงการช้อปดีมีคืน: ลดหย่อนได้จากการซื้อสินค้าและบริการที่มีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
เคล็ดลับ: ติดตามข่าวสารจากกรมสรรพากรและภาครัฐ เพื่อใช้มาตรการให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แม้ว่าระบบภาษีของไทยจะพัฒนาไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น แต่เอกสารหลักฐานยังคงมีความสำคัญ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และเอกสารรับรองจากกองทุน ควรจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อง่ายต่อการยื่นภาษี
เคล็ดลับ: สแกนเอกสารเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สะดวกต่อการค้นหาและยื่นภาษีผ่านระบบออนไลน์
หากคุณมีรายได้หลายช่องทางหรือมีรายได้สูง การปรึกษานักวางแผนภาษีหรือที่ปรึกษาการเงินอาจช่วยให้คุณได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด
เคล็ดลับ: ใช้บริการที่ปรึกษาภาษีเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อมูลอ้างอิง
กรมสรรพากร