โครงสร้างทางการเงินคืออะไร? ทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ?
โครงสร้างทางการเงิน เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ การจัดการโครงสร้างทางการเงินที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ โครงสร้างทางการเงินยังมีความเกี่ยวข้องกับ กฎหมายแพ่ง ซึ่งกำหนดกรอบทางกฎหมายเกี่ยวกับภาระหนี้สิน การทำสัญญา และสิทธิหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น การเข้าใจหลักการทางการเงินร่วมกับกฎหมายแพ่งจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนและเจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญ
การจัดโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมทำให้ธุรกิจสามารถจัดการกระแสเงินสด หนี้สิน และสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาขาดสภาพคล่อง และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจที่มีโครงสร้างทางการเงินที่ดีสามารถบริหารหนี้สินได้อย่างเหมาะสม ลดภาระดอกเบี้ย และป้องกันปัญหาทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ธุรกิจที่มีการจัดการการเงินที่ดีจะสามารถใช้เงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ และสามารถขยายกิจการได้ตามเป้าหมาย
ธุรกิจที่มีโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงจะได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน สถาบันการเงิน และคู่ค้าทางธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการระดมทุนและขยายกิจการ
1.1 ทุนจดทะเบียน (Registered Capital)
ทุนจดทะเบียนคือจำนวนเงินที่บริษัทระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ทุนจดทะเบียนสะท้อนถึงขนาดของธุรกิจและความสามารถในการลงทุนของบริษัท
ข้อกำหนดเกี่ยวกับทุนจดทะเบียนในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บริษัทจำกัดต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 1 บาท (ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชน)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามารถกำหนดทุนจดทะเบียนได้ตามข้อตกลงของหุ้นส่วน
ทุนจดทะเบียนต้องชำระเต็มจำนวนก่อนที่บริษัทจะสามารถแบ่งปันผลกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้
1.2 ทุนเรียกชำระแล้ว (Paid-up Capital)
ทุนเรียกชำระแล้วคือจำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นได้ชำระเข้ามาเพื่อใช้เป็นเงินทุนดำเนินกิจการจริง โดยอาจมีบางส่วนของทุนจดทะเบียนที่ยังไม่ได้เรียกชำระ
ความสำคัญของทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว
แสดงความน่าเชื่อถือของบริษัทต่อคู่ค้าและนักลงทุน
เป็นตัวบ่งชี้ความสามารถของบริษัทในการบริหารเงินทุน
มีผลต่อการกำหนดอัตราภาษีและเงื่อนไขการกู้ยืม
2.1 สินทรัพย์ (Assets)
สินทรัพย์คือทรัพยากรที่บริษัทเป็นเจ้าของและสามารถใช้สร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก
สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ
สินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets) เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร
2.2 หนี้สิน (Liabilities)
หนี้สินเป็นภาระผูกพันทางการเงินที่บริษัทต้องชำระในอนาคต โดยแบ่งออกเป็น
หนี้สินระยะสั้น (Short-term Liabilities) เช่น เจ้าหนี้การค้า เงินกู้ยืมระยะสั้น
หนี้สินระยะยาว (Long-term Liabilities) เช่น เงินกู้ระยะยาว พันธบัตร
ความสำคัญของสินทรัพย์และหนี้สิน
สินทรัพย์เป็นตัวบ่งชี้ความมั่นคงของธุรกิจ
หนี้สินที่เหมาะสมช่วยให้ธุรกิจมีสภาพคล่องและขยายกิจการได้
ต้องมีการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินให้สมดุลเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน
3.1 กระแสเงินสด (Cash Flow)
กระแสเงินสดเป็นการเคลื่อนไหวของเงินเข้าและออกจากธุรกิจ ซึ่งมีผลต่อสภาพคล่องของบริษัท
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) รายได้จากการขายสินค้าและบริการ
กระแสเงินสดจากการลงทุน (Investing Cash Flow) การซื้อหรือขายสินทรัพย์ถาวร
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงินทุน (Financing Cash Flow) การกู้ยืมหรือออกหุ้น
3.2 เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital)
เงินทุนหมุนเวียนคำนวณจาก สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินหมุนเวียน ใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าธุรกิจมีสภาพคล่องเพียงพอหรือไม่
ความสำคัญของกระแสเงินสดและเงินทุนหมุนเวียน
ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น
ป้องกันปัญหาสภาพคล่องที่อาจทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก
เป็นปัจจัยที่ธนาคารใช้พิจารณาสินเชื่อ
4.1 โครงสร้างทุน (Capital Structure)
โครงสร้างทุนหมายถึงสัดส่วนของแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย
ทุนของผู้ถือหุ้น (Equity Capital) เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ
เงินกู้ยืม (Debt Capital) เช่น เงินกู้จากธนาคาร พันธบัตร
4.2 สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio - D/E Ratio)
เป็นตัวชี้วัดระดับหนี้สินของบริษัท เทียบกับเงินทุนของผู้ถือหุ้น
D/E Ratio สูง = บริษัทพึ่งพาหนี้สินมาก มีความเสี่ยงทางการเงินสูง
D/E Ratio ต่ำ = บริษัทพึ่งพาเงินทุนจากผู้ถือหุ้นมาก เสี่ยงน้อยกว่า
ความสำคัญของโครงสร้างทุน
ช่วยกำหนดกลยุทธ์ทางการเงินของธุรกิจ
มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยและโอกาสในการกู้เงิน
ส่งผลต่อความสามารถในการเติบโตและการลงทุน
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096-1124 ระบุข้อบังคับเกี่ยวกับ บริษัทจำกัด เช่น การจดทะเบียนทุน, การเรียกชำระหุ้น, การเพิ่มและลดทุน
2. มาตรา 1012-1024 เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจำกัด กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนต้องมีทุนจดทะเบียนที่ชัดเจนและบริหารตามข้อตกลงของหุ้นส่วน
3. กฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้อง บริษัทต้องจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานบัญชี และปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ธุรกิจต้องกำหนดสัดส่วนของเงินกู้และเงินทุนให้เหมาะสม เพื่อป้องกันภาระหนี้สินที่เกินตัว และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน
การจัดการกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้โดยไม่เกิดปัญหาทางการเงิน
การปฏิบัติตามกฎหมายแพ่งและภาษีช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายและทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างถูกต้องตามระเบียบ
ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเวลา เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มผลกำไรในระยะยาว