สิทธิผู้ขับขี่ หมายถึง สิทธิทางกฎหมายที่บุคคลได้รับเมื่อได้รับใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งครอบคลุมถึงการใช้ถนนอย่างปลอดภัย ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจราจร และสามารถเรียกร้องสิทธิเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ สิทธิของผู้ขับขี่สามารถแบ่งออกเป็นหลายด้าน ดังนี้
ผู้ขับขี่ที่มีใบอนุญาตขับขี่สามารถใช้ถนนสาธารณะได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องปฏิบัติตามกฎจราจรและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การได้รับอนุญาตให้ขับขี่หมายถึงการผ่านกระบวนการอบรมและทดสอบตามที่กฎหมายกำหนด
เมื่อผู้ขับขี่ทำประกันภัยรถยนต์ จะได้รับความคุ้มครองในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
- ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ให้ความคุ้มครองเบื้องต้นในกรณีได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
- ประกันภาคสมัครใจ ช่วยคุ้มครองเพิ่มเติมทั้งผู้ขับขี่ รถยนต์ และบุคคลที่สาม
ผู้ขับขี่มีสิทธิในการโต้แย้งค่าปรับ การดำเนินคดี หรือการถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนกฎหมายจราจรโดยไม่เป็นธรรม โดยสามารถยื่นอุทธรณ์หรือร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมขนส่งทางบก หรือศาลจราจร
หากผู้ขับขี่ถูกละเมิดสิทธิ เช่น ถูกเรียกเก็บค่าปรับโดยมิชอบ ถูกปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐ หรือได้รับความเสียหายจากการกระทำของผู้อื่น สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายในการดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายได้
ผู้ขับขี่มีสิทธิได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายจราจร อัตราค่าปรับ มาตรฐานความปลอดภัย และแนวทางการขับขี่ที่ถูกต้อง รวมถึงสิทธิในการเข้ารับการอบรมหรือทดสอบทักษะเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงความสามารถในการขับขี่
หน้าที่ของผู้ขับขี่ เป็นข้อกำหนดที่ช่วยให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนนและลดอุบัติเหตุ โดยหน้าที่หลักของผู้ขับขี่มีดังนี้
ผู้ขับขี่ต้องเคารพกฎหมายจราจรทุกข้อ เช่น ขับรถตามความเร็วที่กำหนด หยุดตามสัญญาณไฟจราจร ไม่ขับรถย้อนศร และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด
ผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกต้องตามประเภทของยานพาหนะที่ใช้ และต้องต่ออายุใบขับขี่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตเด็ดขาด
ผู้ขับขี่ต้องมีสมาธิในการขับขี่ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ห้ามขับขี่ขณะมึนเมา ง่วงนอน หรืออยู่ในภาวะที่อาจเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
ต้องมีน้ำใจและเคารพสิทธิของผู้ใช้ถนนรายอื่น เช่น หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ให้ทางรถฉุกเฉิน และไม่ขับรถจี้ท้ายรถคันหน้า
ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบสภาพรถก่อนออกเดินทาง เช่น ตรวจสอบเบรก ยางรถ ไฟสัญญาณ และน้ำมันเครื่อง เพื่อให้แน่ใจว่ารถอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเมื่อขับขี่
ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกกันน็อก
หลีกเลี่ยงการบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฎหมายกำหนด
เขตเมือง: ไม่เกิน 60 กม./ชม.
ทางหลวง: ไม่เกิน 90 กม./ชม.
ทางด่วน: ไม่เกิน 120 กม./ชม.
ห้ามขับขี่ขณะมีระดับแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่ทั่วไป และ 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์สำหรับผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ไม่เกิน 5 ปี
หากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ ควรใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ระบบแฮนด์ฟรี หรือจอดรถในที่ปลอดภัยก่อนใช้งาน
เมื่อพบรถพยาบาล รถดับเพลิง หรือรถฉุกเฉิน ต้องเปิดทางให้โดยทันที
การปฏิบัติตามกฎหมายจราจรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการถูกปรับหรือดำเนินคดี โดยกฎหมายจราจรที่สำคัญที่ผู้ขับขี่ต้องรู้ ได้แก่:
ถนนในเขตเมือง: ไม่เกิน 60 กม./ชม.
ทางหลวงแผ่นดิน: ไม่เกิน 90 กม./ชม.
ทางด่วนพิเศษ: ไม่เกิน 120 กม./ชม.
กฎหมายกำหนดว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่ทั่วไป และ 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์สำหรับผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ไม่เกิน 5 ปี
หากฝ่าฝืน อาจถูกปรับสูงสุด 200,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 10 ปี
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย หากฝ่าฝืน อาจถูกปรับสูงสุด 5,000 บาท
ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ หากไม่มีอุปกรณ์เสริม เช่น หูฟังบลูทูธ หรือระบบแฮนด์ฟรี
หากฝ่าฝืน อาจถูกปรับสูงสุด 2,000 บาท
ต้องหลีกทางให้รถพยาบาล รถดับเพลิง และรถฉุกเฉิน หากฝ่าฝืน อาจถูกปรับสูงสุด 10,000 บาท
ข้อมูลอ้างอิง
กรมการขนส่งทางบก