การปฏิบัติตาม กฎหมายจราจร เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่นบนท้องถนน ข้อกำหนดจราจรที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและการกระทำผิดที่อาจนำไปสู่การถูกลงโทษตามกฎหมาย ในบทความนี้ เราจะพาผู้ขับขี่มาทำความเข้าใจ ข้อกำหนดจราจร ที่สำคัญ รวมถึงสิทธิและหน้าที่ที่ผู้ขับขี่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
กฎหมายจราจร คือ กฎหมายที่ควบคุมการใช้ถนนและการขับขี่ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความเป็นระเบียบในการเดินทาง โดยมีกฎและข้อบังคับที่ผู้ขับขี่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม กฎหมายจราจรมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ถนนทุกคน ตั้งแต่ผู้ขับขี่ รถยนต์, มอเตอร์ไซค์, จักรยาน, ไปจนถึงคนเดินถนน
กฎหมายจราจรสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทหลักๆ ได้แก่:
1. กฎหมายที่เกี่ยวกับการขับขี่: กฎที่กำหนดวิธีการขับขี่ที่ถูกต้อง เช่น การเคารพสัญญาณไฟจราจร, การขับขี่ในช่องทางที่กำหนด, การหยุดรถที่เครื่องหมายจราจร หรือการขับขี่ตามความเร็วที่กำหนด
2. กฎหมายที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุ: กฎหมายที่กำหนดวิธีการรับผิดชอบเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น การจ่ายค่าชดเชยหรือค่าปรับ, การฟ้องร้องทางแพ่งในกรณีที่มีผู้เสียหาย
3. กฎหมายที่เกี่ยวกับใบขับขี่: การตรวจสอบความสามารถในการขับขี่และการออกใบขับขี่แก่ผู้ขับขี่
4. กฎหมายที่เกี่ยวกับการจอดรถ: กฎหมายเกี่ยวกับการจอดรถในที่ที่ห้ามจอดหรือการจอดรถผิดกฎ
กฎหมายจราจรเป็นกฎระเบียบที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อควบคุมการใช้ถนน ลดอุบัติเหตุ และสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้ใช้ทางทุกคน การทำความเข้าใจ กฎหมายจราจรที่สำคัญ จะช่วยให้เราปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ลดโอกาสถูกปรับและป้องกันอุบัติเหตุได้
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายหลักที่ใช้ควบคุมการจราจรในประเทศไทย โดยมีข้อบังคับที่สำคัญ เช่น
1.1 การขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์
ต้องมีใบขับขี่ที่ถูกต้อง หากไม่มีใบขับขี่หรือใช้ใบขับขี่หมดอายุ อาจถูกปรับสูงสุด 10,000 บาท
ห้ามขับรถเร็วเกินกำหนด
-เขตเมือง: ไม่เกิน 60 กม./ชม.
- นอกเมือง: ไม่เกิน 90 กม./ชม.
- ทางด่วนหรือมอเตอร์เวย์: ไม่เกิน 120 กม./ชม. (เว้นแต่มีป้ายกำหนด)
ห้ามขับรถย้อนศร ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 1,000 บาท
ห้ามขับรถโดยประมาท เช่น แซงในที่คับขัน ไม่เปิดไฟเลี้ยว หรือขับปาดหน้า
1.2 การดื่มสุราและขับขี่ (เมาแล้วขับ)
หากมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าผิดกฎหมาย
หากเป็น ผู้ขับขี่อายุไม่เกิน 20 ปี หรือมีใบขับขี่ชั่วคราว ต้องไม่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
โทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 10,000 - 200,000 บาท และถูกพักใช้ใบขับขี่
2.1 การใช้หมวกกันน็อกและเข็มขัดนิรภัย
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ ต้องสวมหมวกกันน็อก ฝ่าฝืนปรับ 500 บาท
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท
2.2 การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ
ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เว้นแต่มีอุปกรณ์ Hands-Free ฝ่าฝืนปรับ 400 - 1,000 บาท
3.1 ที่ห้ามจอดรถ
- บริเวณที่มีเครื่องหมายห้ามจอด
- บริเวณทางม้าลาย
- ทางโค้งและสะพาน
- หน้าทางเข้า-ออกอาคาร
- จอดรถกีดขวางการจราจร
ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 1,000 บาท หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับพื้นที่
3.2 การใช้ช่องทางเดินรถ
- รถช้าต้องอยู่เลนซ้าย รถเร็วอยู่เลนขวา
- ห้ามใช้ไหล่ทาง ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน
- ห้ามขับแทรกหรือเบียดซ้าย ฝ่าฝืนปรับ 500 - 1,000 บาท
4.1 ไฟจราจร
ไฟแดง: ต้องหยุด ห้ามฝ่าฝืน
ไฟเหลือง: ให้ชะลอและเตรียมหยุด
ไฟเขียว: ไปได้ แต่ต้องให้สิทธิทางแก่ผู้ใช้ถนนอื่นที่มาก่อน
หากฝ่าสัญญาณไฟแดง ปรับสูงสุด 1,000 บาท
4.2 ป้ายจราจรที่สำคัญ
ป้ายหยุด (STOP): ต้องหยุดก่อนออกทางหลัก
ป้ายให้ทาง (YIELD): ต้องให้รถทางหลักผ่านก่อน
ป้ายจำกัดความเร็ว: ต้องขับตามที่กำหนด
ข้อกำหนดจราจร เป็นกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย หากผู้ขับขี่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และป้องกันการถูกปรับหรือถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย
ต้องมีใบขับขี่ที่ถูกต้องและตรงกับประเภทรถที่ขับ
ห้ามขับขี่ขณะใบขับขี่หมดอายุ
ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่หรือถูกพักใช้ใบขับขี่แต่ยังขับรถ อาจได้รับโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท
เขตเมือง: ไม่เกิน 60 กม./ชม.
เขตนอกเมือง: ไม่เกิน 90 กม./ชม.
ทางด่วนและมอเตอร์เวย์: ไม่เกิน 120 กม./ชม.
หากขับรถเร็วเกินกำหนด อาจถูกปรับสูงสุด 1,000 บาท
ต้องปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรทุกประเภท เช่น
- สัญญาณไฟจราจร
- ป้ายหยุด (STOP)
- ป้ายให้ทาง (YIELD)
ห้ามฝ่าฝืนไฟแดง ไม่เช่นนั้นอาจถูกปรับสูงสุด 1,000 บาท
ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ ยกเว้นใช้ อุปกรณ์เสริมแบบ Hands-Free
หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับ 400 - 1,000 บาท
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ทุกคนต้องสวมหมวกกันน็อก
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
หากฝ่าฝืน อาจถูกปรับสูงสุด 2,000 บาท
ผู้ขับขี่ต้องมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
สำหรับผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี หรือมีใบขับขี่ชั่วคราว ห้ามมีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
หากฝ่าฝืน อาจได้รับโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 10,000 - 200,000 บาท และถูกพักใช้ใบขับขี่
ห้ามจอดรถในที่ห้ามจอด เช่น
- บริเวณที่มีป้าย ห้ามจอด
- บริเวณทางข้าม ทางม้าลาย
- หน้าทางเข้า-ออกอาคาร หรือหน้าสถานีดับเพลิง
หากฝ่าฝืน อาจถูกปรับสูงสุด 1,000 บาท และรถอาจถูกลากจอด
ผู้ขับขี่ต้องให้ทางแก่
- รถพยาบาล
- รถดับเพลิง
- รถตำรวจที่เปิดสัญญาณฉุกเฉิน
หากฝ่าฝืน อาจถูกปรับ 500 - 1,000 บาท
ต้องเปิดไฟหน้าในช่วงเวลากลางคืนหรือในพื้นที่ที่มีแสงสว่างน้อย
ห้ามใช้ไฟสูงในขณะที่มีรถสวนทางมา
ห้ามติดไฟสีแดงหรือไฟกะพริบที่ด้านหน้ารถ
การบรรทุกสิ่งของต้องไม่กีดขวางทัศนวิสัยของผู้ขับขี่
ห้ามบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฎหมายกำหนด
หากบรรทุกของเกินกำหนด อาจถูกปรับ สูงสุด 50,000 บาท
กฎหมายจราจรไทยมีกฎระเบียบที่ครอบคลุมหลายด้าน ซึ่งผู้ขับขี่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม เช่น การหยุดรถที่สัญญาณไฟจราจร, การให้ทางรถฉุกเฉิน, และ การขับขี่ตามความเร็วที่กำหนด ที่สำคัญคือการ ไม่ฝ่าฝืนกฎจราจร ซึ่งอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ และในบางกรณีผู้ขับขี่อาจต้องรับผิดชอบทาง กฎหมายแพ่ง และ กฎหมายอาญา หากมีการทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายจากการขับขี่
1. การขับขี่ตามความเร็วที่กำหนด ผู้ขับขี่ต้องขับรถตามความเร็วที่กฎหมายกำหนดไว้ในแต่ละพื้นที่ เช่น ในเขตเมืองอาจจำกัดความเร็วที่ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือบนทางหลวงอาจอนุญาตให้ขับขี่ได้ที่ 90-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง การฝ่าฝืนการจำกัดความเร็วอาจทำให้ถูกจับปรับหรือเสียคะแนนใบขับขี่
2. การใช้สัญญาณไฟจราจร สัญญาณไฟจราจรเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การจราจรเป็นระเบียบ เช่น สัญญาณไฟสีเขียวให้ขับขี่ได้, สีเหลืองให้เตรียมหยุด, และสีแดงให้หยุด หากฝ่าฝืนอาจมีโทษปรับหรือถึงขั้นโดนจับกุมในบางกรณี
3. การให้ทางแก่ยานพาหนะฉุกเฉิน ผู้ขับขี่ต้องให้ทางแก่ยานพาหนะที่มีสัญญาณไฟฉุกเฉิน เช่น รถพยาบาล หรือรถดับเพลิง เพื่อให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานฉุกเฉินไม่ถูกขัดขวาง
4. การหยุดรถที่ป้ายหยุด (STOP) การหยุดที่ป้ายหยุด (STOP) เป็นการบังคับให้ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถและตรวจสอบเส้นทางก่อนที่จะขับขี่ต่อไป การไม่หยุดที่ป้ายหยุดถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย
5. การใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่โดยไม่ใช้หูฟังหรืออุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ผู้ขับขี่จะต้องใช้โทรศัพท์ในขณะที่หยุดรถหรือใช้เครื่องมือช่วยในการขับขี่
การฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แต่ยังทำให้ผู้ขับขี่ต้องรับโทษตามกฎหมายด้วย โดยโทษที่เกิดขึ้นอาจมีตั้งแต่ ค่าปรับ การ ยึดใบขับขี่ หรือ การจำคุก ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำผิด ตัวอย่างของการกระทำผิดที่มีบทลงโทษเช่น:
1. การขับขี่เร็วเกินกว่ากำหนด: หากขับขี่เร็วเกินไปจะถูกปรับตามระยะทางและความเร็วที่เกินกฎหมายกำหนด
2. การขับขี่ขณะมึนเมา: การขับขี่ภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือสารเสพติดจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง อาจถึงขั้นถูกจำคุกและเสียใบขับขี่
3. การขับขี่โดยประมาท: หากการขับขี่เกิดอุบัติเหตุหรือทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บจะต้องรับผิดชอบตาม กฎหมายแพ่ง โดยการชดใช้ค่าเสียหาย
การฝ่าฝืนกฎหมายจราจรอาจมีบทลงโทษแตกต่างกันไป ตั้งแต่การปรับเงินไปจนถึงการถูกตัดคะแนนใบขับขี่
ตัวอย่างบทลงโทษที่สำคัญ
ขับรถเร็วเกินกำหนด – ปรับสูงสุด 1,000 บาท
ขับรถฝ่าไฟแดง – ปรับสูงสุด 5,000 บาท
ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย – ปรับสูงสุด 500 บาท
ขับขี่ขณะเมาสุรา – จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับสูงสุด 20,000 บาท
ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่โดยไม่มีอุปกรณ์เสริม – ปรับสูงสุด 2,000 บาท
ศึกษากฎหมายจราจรให้เข้าใจ
เคารพเครื่องหมายและสัญญาณจราจร
ขับขี่ด้วยความเร็วที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่
คาดเข็มขัดนิรภัยและสวมหมวกกันน็อกเสมอ
ไม่ขับรถเมื่อร่างกายไม่พร้อม เช่น ง่วง หรือเมา
เคารพสิทธิของผู้ใช้ถนนคนอื่น
ข้อมูลอ้างอิง
กรมการขนส่งทางบก