Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

สิทธิของพนักงานตามกฎหมายแรงงานที่พนักงานบริษัทขนาดใหญ่ควรรู้

Posted By Kung_nadthanan | 18 ก.พ. 68
539 Views

  Favorite

 

สิทธิของพนักงาน เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรทราบ โดยเฉพาะในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานจำนวนมาก การรู้กฎหมายแรงงานและข้อกำหนดต่างๆ จะช่วยให้พนักงานได้รับการคุ้มครองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นกฎหมายหลักที่กำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของพนักงาน เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำ การทำงานล่วงเวลา วันหยุดพักผ่อน และค่าชดเชยเลิกจ้าง ซึ่งพนักงานทุกคนควรรู้เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบจากนายจ้าง

 

 

สิทธิพื้นฐานของพนักงานตามกฎหมายแรงงาน

สิทธิพื้นฐานของพนักงาน เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรทราบเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองจากนายจ้างอย่างถูกต้อง กฎหมายแรงงานของไทยกำหนดให้พนักงานมีสิทธิได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม ชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม รวมถึงสวัสดิการต่างๆ เช่น ประกันสังคม วันหยุด และค่าชดเชยเลิกจ้าง บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับ สิทธิของพนักงานตามกฎหมายแรงงานไทย อย่างละเอียด เพื่อให้พนักงานทุกคนเข้าใจและสามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้

1. ค่าจ้างขั้นต่ำและสิทธิด้านค่าตอบแทน

ค่าจ้างขั้นต่ำ:
กฎหมายแรงงานกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างพนักงานไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในแต่ละจังหวัด เช่น

-กรุงเทพฯ และปริมณฑล – ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 330 บาทต่อวัน
-จังหวัดอื่นๆ – อัตราค่าแรงขั้นต่ำแตกต่างกันไปตามประกาศของกระทรวงแรงงาน 

ณ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 ประเทศไทยได้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ โดยแบ่งตามพื้นที่ดังนี้:

400 บาทต่อวัน: จังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

380 บาทต่อวัน: อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

372 บาทต่อวัน: กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้แก่ นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, และสมุทรสาคร

อัตราอื่น ๆ: จังหวัดที่เหลือมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยร้อยละ 2 จากอัตราเดิม

การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป

ค่าล่วงเวลา (OT):

หากพนักงานทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างปกติ

กรณีทำงานในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 2 เท่าของอัตราค่าจ้างปกติ

เงินโบนัส:

โบนัสไม่ใช่สิทธิที่กฎหมายกำหนด แต่หากนายจ้างมีการให้โบนัสเป็นประจำ ถือเป็นข้อตกลงที่นายจ้างต้องปฏิบัติตาม

 

2. ชั่วโมงการทำงาน และเวลาพัก

ชั่วโมงการทำงานสูงสุด:

ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

หากเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น งานโรงงาน หรืองานที่มีสารเคมี อาจถูกจำกัดไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน และ 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

เวลาพักระหว่างทำงาน:

พนักงานที่ทำงานเกิน 5 ชั่วโมงต้องได้รับเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง

วันหยุดประจำสัปดาห์:

พนักงานต้องได้รับวันหยุด อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์

 

3. สิทธิในการลาหยุด และวันหยุดพิเศษ

วันหยุดนักขัตฤกษ์:

นายจ้างต้องให้พนักงานหยุดตามวันหยุดราชการ ไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี

วันลาพักร้อน:

พนักงานที่ทำงานครบ 1 ปีขึ้นไปมีสิทธิ ลาพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปี

วันลาป่วย:

พนักงานมีสิทธิ ลาป่วยได้ตามจริง และได้รับค่าจ้างสูงสุด 30 วันต่อปี

วันลาอื่นๆ:

ลาคลอดบุตร – หญิงตั้งครรภ์มีสิทธิ ลาคลอดได้ 98 วัน และนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้าง 45 วันแรก

ลาทำหมัน – มีสิทธิลาโดยได้รับค่าจ้าง

ลารับราชการทหาร – ได้รับค่าจ้างสูงสุด 60 วัน

ลาร่วมพิธีศพของสมาชิกในครอบครัว – นายจ้างอาจให้ลาโดยไม่หักค่าจ้างขึ้นอยู่กับข้อตกลง

 

4. สวัสดิการด้านประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน

สิทธิในประกันสังคม:
พนักงานที่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 มีสิทธิได้รับความคุ้มครองดังนี้:
1. ค่ารักษาพยาบาล – ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งในและนอกโรงพยาบาล
2. เงินชดเชยกรณีว่างงาน – ได้รับเงินชดเชย 50% ของค่าจ้าง กรณีถูกเลิกจ้าง
3. เงินชราภาพ – สามารถขอรับเงินบำนาญเมื่อเกษียณอายุ

กองทุนเงินทดแทน:

หากพนักงานได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน นายจ้างต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล และจ่ายเงินชดเชยให้พนักงาน

 

5. ค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง

กรณีเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม:

หากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานของพนักงาน

ค่าชดเชยตามอายุงาน:

ทำงาน 120 วัน – 1 ปี → ได้รับค่าชดเชย 30 วันของค่าจ้าง

ทำงาน 1 ปี – 3 ปี → ได้รับค่าชดเชย 90 วันของค่าจ้าง

ทำงาน 3 ปี – 6 ปี → ได้รับค่าชดเชย 180 วันของค่าจ้าง

ทำงาน 6 ปี – 10 ปี → ได้รับค่าชดเชย 240 วันของค่าจ้าง

ทำงาน 10 ปีขึ้นไป → ได้รับค่าชดเชย 300 วันของค่าจ้าง

หากถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม พนักงานสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกระทรวงแรงงาน หรือฟ้องศาลแรงงานเพื่อขอค่าชดเชยได้

 

6. วิธีป้องกันการถูกละเมิดสิทธิ

ศึกษากฎหมายแรงงาน – รู้สิทธิของตนเอง เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบ
ตรวจสอบสัญญาจ้างงาน – อ่านรายละเอียดให้รอบคอบก่อนเซ็นสัญญา
หากถูกละเมิดสิทธิ สามารถดำเนินการดังนี้:
1. แจ้งฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) เพื่อขอความเป็นธรรม
2. ร้องเรียนกระทรวงแรงงาน ผ่านสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
3. ฟ้องศาลแรงงาน หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายจ้าง

 

ชั่วโมงการทำงาน ล่วงเวลา และวันหยุด

พนักงานต้องทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากต้องทำงานล่วงเวลา (OT) นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาตามอัตราที่กฎหมายกำหนด เช่น 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติ

วันหยุดและวันลา:

วันหยุดประจำสัปดาห์ 1 วันต่อสัปดาห์

วันหยุดนักขัตฤกษ์ตามประกาศของบริษัท

วันลาพักร้อนประจำปีไม่น้อยกว่า 6 วัน หลังจากทำงานครบ 1 ปี

วันลาป่วยได้รับค่าจ้างสูงสุด 30 วันต่อปี

 

ค่าจ้าง โบนัส และสวัสดิการ

ค่าจ้างขั้นต่ำ: พนักงานต้องได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดในแต่ละจังหวัด
โบนัสพนักงาน: แม้กฎหมายไม่ได้บังคับให้นายจ้างต้องจ่ายโบนัส แต่หากเป็นข้อตกลงหรือมีการจ่ายประจำก็ถือเป็นสิทธิของพนักงาน
สวัสดิการประกันสังคม: ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยกรณีว่างงาน และเงินบำนาญ

 

การเลิกจ้าง และค่าชดเชยที่พนักงานควรได้รับ

การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม: นายจ้างต้องมีเหตุผลอันสมควรในการเลิกจ้าง เช่น การทำผิดวินัยร้ายแรง
ค่าชดเชยเลิกจ้าง:

ทำงาน 120 วันขึ้นไปแต่ไม่ถึง 1 ปี ได้รับค่าชดเชย 30 วัน

ทำงาน 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 3 ปี ได้รับค่าชดเชย 90 วัน

ทำงาน 3 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 6 ปี ได้รับค่าชดเชย 180 วัน

หากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้าหรือไม่เป็นธรรม พนักงานสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกระทรวงแรงงานได้

 

วิธีป้องกันการถูกเอาเปรียบ และการร้องเรียน

หากพนักงานถูกละเมิดสิทธิ สามารถดำเนินการดังนี้:
เจรจากับนายจ้าง – หากมีข้อขัดแย้ง ให้เริ่มจากการพูดคุย
ร้องเรียนกระทรวงแรงงาน – ยื่นคำร้องต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ฟ้องศาลแรงงาน – หากไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถยื่นฟ้องเพื่อเรียกร้องสิทธิได้

 

กฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงาน เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับ การจ้างงาน ค่าจ้าง วันทำงาน วันหยุด สวัสดิการ และสิทธิของลูกจ้าง รวมถึงหน้าที่ของนายจ้าง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย

 

กฎหมายแรงงาน เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 

- คุ้มครองสิทธิของลูกจ้างจากการเอารัดเอาเปรียบ

- กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของการทำงาน

- สร้างความเป็นธรรมในที่ทำงาน

- วางหลักเกณฑ์ที่นายจ้างต้องปฏิบัติตาม

 

กฎหมายแรงงานที่สำคัญในประเทศไทย

ประเทศไทยมีกฎหมายแรงงานหลายฉบับที่บังคับใช้ โดยมีกฎหมายหลักที่สำคัญ ได้แก่

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม)

กำหนดสิทธิและสวัสดิการขั้นต่ำ เช่น ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา วันหยุด และการเลิกจ้าง

พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เช่น การจัดตั้งสหภาพแรงงาน

พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533

ให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพ เงินทดแทน กองทุนชราภาพ และเงินชดเชยกรณีว่างงาน

พระราชบัญญัติกองทุนเงินทดแทน พ.ศ. 2537

กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน

 

ขอบเขตของกฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงานไทยครอบคลุม แรงงานภาคเอกชน ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น
-ลูกจ้างรายวัน
-ลูกจ้างรายเดือน
-พนักงานประจำ
-พนักงานสัญญาจ้าง

แต่กฎหมายแรงงานไม่ครอบคลุมกลุ่มต่อไปนี้
-ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (มีกฎหมายเฉพาะ)
-แรงงานในครัวเรือนบางประเภท
-แรงงานที่มีข้อตกลงพิเศษกับนายจ้างโดยตรง

 

สิทธิของพนักงาน เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้ โดยเฉพาะพนักงานในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกฎระเบียบซับซ้อน
กฎหมายแรงงานไทย กำหนดให้พนักงานได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม ชั่วโมงทำงานที่เหมาะสม และสวัสดิการที่ดี
หากถูกละเมิดสิทธิ พนักงานสามารถ ร้องเรียนกระทรวงแรงงาน เพื่อขอความเป็นธรรม

 

ข้อมูลอ้างอิง

กระทรวงแรงงาน

กรมสอบสวนคดีพิเศษ

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow