การจดทะเบียนบริษัท เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจในประเทศไทย การจดทะเบียนนี้ช่วยให้ธุรกิจมีสถานะเป็น นิติบุคคล ถูกต้องตามกฎหมาย มีความน่าเชื่อถือ และสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น การขอสินเชื่อ การทำสัญญาทางธุรกิจ และการขยายกิจการ ทั้งนี้ ข้อกำหนดทางกฎหมาย สำหรับการจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยอยู่ภายใต้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตาม
การจดทะเบียนบริษัท เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย การจดทะเบียนช่วยให้ธุรกิจมีสถานะเป็น นิติบุคคล อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีความน่าเชื่อถือ และสามารถดำเนินธุรกรรมทางธุรกิจได้สะดวกขึ้น เช่น การขอสินเชื่อ การเข้าร่วมประมูลโครงการ หรือการทำสัญญากับลูกค้าและคู่ค้า
การจดทะเบียนบริษัทต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (สำหรับบริษัทมหาชน) ซึ่งกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับทุนจดทะเบียน จำนวนผู้ถือหุ้น ข้อบังคับบริษัท และหน้าที่ของกรรมการบริษัท
ก่อนการจดทะเบียนบริษัท ผู้ประกอบการต้องเลือกประเภทของธุรกิจให้เหมาะสม โดยประเภทของธุรกิจที่สามารถจดทะเบียนได้ในประเทศไทย ได้แก่:
ห้างหุ้นส่วนสามัญเป็นธุรกิจที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และหุ้นส่วนทั้งหมดต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินของห้างหุ้นส่วนแบบไม่จำกัด (รับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด) การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แต่หากต้องการให้เป็นนิติบุคคลก็สามารถจดทะเบียนได้
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจขนาดเล็กและครอบครัวที่มีความไว้วางใจกันสูง
ห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นธุรกิจที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีหุ้นส่วน 2 ประเภท ได้แก่
- หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด (Unlimited Liability Partner) รับผิดชอบหนี้สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมด
- หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด (Limited Liability Partner) รับผิดชอบหนี้สินเฉพาะเงินทุนที่ลงทุนไว้เท่านั้น
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่ต้องการโครงสร้างแบบห้างหุ้นส่วน แต่ต้องการจำกัดความรับผิดของหุ้นส่วนบางคน
บริษัทจำกัดเป็นธุรกิจที่มีสถานะเป็น นิติบุคคล ซึ่งหมายความว่าเจ้าของและธุรกิจแยกออกจากกันทางกฎหมาย ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบต่อหนี้สินของบริษัทเท่ากับจำนวนเงินที่ลงทุนเท่านั้น
เงื่อนไขหลักของบริษัทจำกัด:
- ต้องมี ผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 2 คน
- ต้องมี ทุนจดทะเบียนที่ระบุชัดเจน และแบ่งออกเป็นหุ้น
- ต้องมี กรรมการอย่างน้อย 1 คน
- ต้องจดทะเบียนกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่ต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือและขยายโอกาสการลงทุน
บริษัทมหาชนจำกัดเป็นธุรกิจที่สามารถเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปได้ และสามารถนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้
เงื่อนไขหลักของบริษัทมหาชน:
-ต้องมี ผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 15 คน
-ต้องมี คณะกรรมการอย่างน้อย 5 คน
-ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท และมีการออกหุ้นให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 50%
-ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการระดมทุนจากนักลงทุนและขยายกิจการในวงกว้าง
เป็นรูปแบบธุรกิจที่เจ้าของเป็นบุคคลเพียงคนเดียว และต้องรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจ โดยไม่มีการแยกทรัพย์สินส่วนตัวออกจากธุรกิจ
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น ร้านค้าออนไลน์ ร้านอาหาร หรือฟรีแลนซ์
เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อดำเนินธุรกิจและให้ผลประโยชน์แก่สมาชิก เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์การเกษตร
เหมาะสำหรับ: กลุ่มคนที่ต้องการบริหารกิจการร่วมกันเพื่อประโยชน์ของสมาชิก เช่น เกษตรกร หรือชุมชน
ต้องมี ผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 2 คน
ต้องกำหนด ชื่อบริษัทที่ไม่ซ้ำกับบริษัทอื่นที่จดทะเบียนแล้ว
ต้องมี สำนักงานจดทะเบียน อยู่ในประเทศไทย
ต้องกำหนด ทุนจดทะเบียน และแบ่งหุ้นออกเป็นมูลค่าที่แน่นอน
ต้องมี กรรมการบริษัทอย่างน้อย 1 คน
ต้องมี หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับบริษัท
ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ ตามกฎหมายคือ 15 บาท แต่โดยทั่วไปบริษัทส่วนใหญ่มักจดทะเบียนทุนตั้งแต่หลักหมื่นบาทขึ้นไป เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ทุนจดทะเบียนต้องมีการชำระขั้นต่ำ 25% ของมูลค่าทุน ก่อนการจดทะเบียน
หนังสือบริคณห์สนธิ (Memorandum of Association)
แบบคำขอจดทะเบียนนิติบุคคล (บอจ.1)
รายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5)
เอกสารแสดงที่ตั้งสำนักงานบริษัท เช่น สัญญาเช่า หรือโฉนดที่ดิน
ข้อบังคับบริษัท (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประชาชนของผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน)
จองชื่อบริษัท ผ่านระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
จัดทำและยื่นหนังสือบริคณห์สนธิ พร้อมเอกสารที่จำเป็น
ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และชำระค่าธรรมเนียม
ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
จดทะเบียนนายจ้างกับสำนักงานประกันสังคม หากมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
ค่าธรรมเนียมจองชื่อบริษัท 100 บาท
ค่าธรรมเนียมจดทะเบียน 5,500 บาทต่อทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท
ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่มีค่าใช้จ่าย
หลังจากจดทะเบียนบริษัทแล้ว ธุรกิจต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี เช่น:
- ภาษีนิติบุคคล คิดเป็น 20% ของกำไรสุทธิ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ใช้สำหรับการจ่ายค่าบริการ ค่าจ้าง หรือดอกเบี้ย
- กรรมการบริษัท มีหน้าที่บริหารจัดการบริษัทตามกฎหมาย และต้องรายงานงบการเงินทุกปี
- ผู้ถือหุ้น รับผิดชอบเฉพาะมูลค่าหุ้นที่ลงทุน ไม่ต้องรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทเกินกว่าจำนวนเงินที่ลงทุน
ข้อมูลอ้างอิง
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า