การเริ่มต้นธุรกิจไม่ใช่แค่การมีไอเดียที่ดี แต่ต้องรู้ กฎหมายบริษัท และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดำเนินกิจการได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย การเข้าใจหลักเกณฑ์ทางกฎหมายช่วยลดความเสี่ยงในอนาคต และป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะเป็น เจ้าของกิจการ ที่กำลังเริ่มต้น หรือกำลังมองหาแนวทางในการขยายธุรกิจ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนสำคัญของ การเริ่มต้นธุรกิจ ตามกฎหมายอย่างครบถ้วน
ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ การเลือกประเภทของธุรกิจให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน โดยประเภทของธุรกิจหลัก ๆ ที่สามารถเลือกได้มีดังนี้:
ธุรกิจเจ้าของคนเดียว เป็นธุรกิจที่มีเจ้าของเพียงคนเดียว และเจ้าของต้องรับผิดชอบทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจ รวมถึงหนี้สินและภาระผูกพันทั้งหมด เป็นรูปแบบธุรกิจที่ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กหรือทดลองตลาดก่อนขยายกิจการ
ข้อดีของธุรกิจเจ้าของคนเดียว
1. เริ่มต้นง่ายและต้นทุนต่ำ – ไม่ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (แต่ควรจดทะเบียนพาณิชย์) และไม่มีภาระด้านเอกสารที่ซับซ้อน
2. อิสระในการบริหาร – เจ้าของมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างได้เอง ไม่ต้องปรึกษาหรือขอความเห็นจากผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วน
3. รายได้ทั้งหมดเป็นของเจ้าของ – ไม่ต้องแบ่งกำไรให้หุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น
4. ความคล่องตัวสูง – สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางธุรกิจได้รวดเร็ว
ข้อเสียของธุรกิจเจ้าของคนเดียว
1. ความรับผิดชอบไม่จำกัด – เจ้าของต้องรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจ อาจกระทบต่อทรัพย์สินส่วนตัว
2. ขาดความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับนิติบุคคล – ลูกค้าและคู่ค้าอาจมองว่าธุรกิจขนาดเล็กมีความเสี่ยงสูง
3. ขยายกิจการได้ยาก – ขาดแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินอาจเป็นไปได้ยาก
4. ภาระงานตกอยู่ที่เจ้าของเพียงผู้เดียว – เจ้าของต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการดำเนินงานประจำวัน
ตัวอย่างธุรกิจที่เหมาะกับธุรกิจเจ้าของคนเดียว
-ร้านค้าออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ
-ธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็กหรือร้านกาแฟ
-งานฟรีแลนซ์ เช่น กราฟิกดีไซน์ การเขียนโปรแกรม การให้คำปรึกษาทางธุรกิจ
-ร้านขายของชำหรือมินิมาร์ทขนาดเล็ก
เป็นธุรกิจที่มีเจ้าของเพียงคนเดียว รับผิดชอบหนี้สินและภาระผูกพันของธุรกิจทั้งหมด เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีความซับซ้อนน้อย เช่น ร้านค้าออนไลน์ ร้านอาหาร หรือธุรกิจบริการส่วนบุคคล
เป็นธุรกิจที่มีหุ้นส่วนสองคนขึ้นไป โดยสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership) – หุ้นส่วนทุกคนมีความรับผิดชอบไม่จำกัด
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) – มีหุ้นส่วนที่รับผิดชอบไม่จำกัด และหุ้นส่วนที่รับผิดชอบตามเงินลงทุน
ข้อดี:
-มีทุนสนับสนุนจากหลายหุ้นส่วน
-บริหารงานได้ง่ายกว่าในบางกรณี
ข้อเสีย:
-หุ้นส่วนสามัญต้องรับผิดชอบหนี้สินไม่จำกัด
-อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหุ้นส่วน
เป็นธุรกิจที่มีการแบ่งทุนเป็นหุ้น ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดชอบจำกัดเฉพาะเงินลงทุนของตน
ข้อดี:
-ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบเฉพาะส่วนที่ลงทุน
-สามารถขยายกิจการและระดมทุนได้ง่าย
-เป็นที่ยอมรับทางกฎหมายมากขึ้น
ข้อเสีย:
-ต้องดำเนินการจดทะเบียนบริษัทและมีข้อบังคับทางกฎหมายมากกว่า
-มีภาระทางบัญชีและภาษีที่ซับซ้อนกว่า
ธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนได้ โดยต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 15 คนขึ้นไป
ข้อดี:
-สามารถระดมทุนจากประชาชนได้
-มีความน่าเชื่อถือสูง
ข้อเสีย:
-มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่เข้มงวด
-กระบวนการบริหารซับซ้อน
กฎหมายบริษัท คือ ข้อกำหนดและระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งบริษัท การบริหารงานภายใน และการควบคุมดูแลการทำธุรกรรมทางธุรกิจ กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทดำเนินกิจการได้อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และเป็นธรรม
การเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจในประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับมีบทบัญญัติที่ควบคุมเกี่ยวกับรูปแบบธุรกิจ การจัดตั้ง การดำเนินงาน และการเสียภาษี บทความนี้จะอธิบายถึง กฎหมายหลัก ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ และระบุ มาตราสำคัญ ที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
เป็นกฎหมายพื้นฐานที่ควบคุมเรื่องสัญญา การจดทะเบียนธุรกิจ ห้างหุ้นส่วน และบริษัท โดยมีมาตราสำคัญดังนี้
มาตรา 1012: กำหนดให้บุคคลคนเดียวไม่สามารถจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทได้ ต้องมีหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
มาตรา 1096: ระบุว่าการจดทะเบียนบริษัทต้องมีผู้เริ่มก่อตั้งอย่างน้อย 3 คน
มาตรา 1108: กำหนดว่าการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับของบริษัทต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
มาตรา 1175: อธิบายเกี่ยวกับการเลิกบริษัทและการชำระบัญชี
เป็นกฎหมายที่ควบคุมบริษัทมหาชนจำกัด โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
มาตรา 7: ระบุว่าบริษัทมหาชนต้องมีผู้ก่อตั้งไม่น้อยกว่า 15 คน
มาตรา 33: กำหนดว่าการโอนหุ้นของบริษัทมหาชนสามารถทำได้โดยเสรี ยกเว้นมีข้อจำกัดในข้อบังคับบริษัท
มาตรา 89/1: วางหลักธรรมาภิบาลของกรรมการบริษัท ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
กฎหมายนี้บังคับให้ธุรกิจที่ดำเนินการในประเทศไทยต้องจดทะเบียนพาณิชย์
มาตรา 6: เจ้าของธุรกิจที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยต้องจดทะเบียนพาณิชย์ภายใน 30 วันหลังจากเริ่มกิจการ
มาตรา 8: กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่จดทะเบียน
ควบคุมเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีของธุรกิจ
มาตรา 8: กำหนดให้กิจการต้องมีผู้ทำบัญชีรับอนุญาต
มาตรา 14: กำหนดระยะเวลาในการจัดทำและยื่นงบการเงิน
เป็นกฎหมายเกี่ยวกับภาษีที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตาม เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีหัก ณ ที่จ่าย
มาตรา 39: กำหนดให้ธุรกิจต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
มาตรา 65 ทวิ: อธิบายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักเป็นต้นทุนได้
มาตรา 77/1: กำหนดให้กิจการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ควบคุมสิทธิและหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง เช่น ค่าจ้าง วันหยุด และการเลิกจ้าง
มาตรา 23: กำหนดให้นายจ้างต้องให้ลูกจ้างมีวันหยุดไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน
มาตรา 70: กำหนดอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร
สำหรับธุรกิจที่ต้องการสิทธิพิเศษทางภาษีและการสนับสนุนจาก BOI
มาตรา 31: กำหนดเงื่อนไขในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
มาตรา 36: อนุญาตให้นำเข้าเครื่องจักรโดยได้รับการยกเว้นภาษีอากรขาเข้า
ข้อมูลอ้างอิง
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย