คดีละเมิด เป็นคดีแพ่งประเภทหนึ่งที่เกิดจากการกระทำของบุคคลหนึ่งที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น โดยทำให้เกิดความเสียหายทั้งทางร่างกาย ทรัพย์สิน หรือชื่อเสียง ผู้เสียหายมีสิทธิ ฟ้องร้องคดีละเมิด เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 กำหนดว่าผู้ใดทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายโดยมิชอบ ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย
-คดีหมิ่นประมาทและละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
-คดีทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ
-คดีละเมิดทรัพย์สิน เช่น ทำลายข้าวของ หรือบุกรุกพื้นที่ผู้อื่น
-คดีละเมิดสัญญาหรือก่อให้เกิดความเสียหายโดยเจตนา
การฟ้องร้องคดีละเมิด เป็นการดำเนินคดีทางแพ่งที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย ทรัพย์สิน หรือสิทธิทางกฎหมาย โดยผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดได้ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การฟ้องร้อง คดีละเมิด เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ผู้เสียหายดำเนินการเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิด ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายทางร่างกาย ทรัพย์สิน หรือสิทธิส่วนบุคคล โดยคดีละเมิดเป็นคดีแพ่งที่อยู่ภายใต้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 เป็นต้นไป ซึ่งกำหนดให้ผู้กระทำละเมิดต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
1.1 ตรวจสอบว่าสามารถฟ้องร้องคดีละเมิดได้หรือไม่
การฟ้องร้องต้องเป็นกรณีที่มีการ กระทำละเมิด ตามกฎหมาย เช่น
-การกระทำที่เป็น การจงใจหรือประมาทเลินเล่อ จนทำให้เกิดความเสียหาย
-ความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องมีมูลค่าหรือสามารถพิสูจน์ได้
-ต้องมี ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับความเสียหาย
1.2 ระยะเวลาฟ้องร้องคดีละเมิด (อายุความ)
-กรณีทั่วไป ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำละเมิด (มาตรา 448)
-กรณีละเมิดเกี่ยวกับอาญา หากการละเมิดเข้าข่ายความผิดทางอาญาด้วย จะมีอายุความ 10 ปี
เพื่อให้การฟ้องร้องมีน้ำหนักเพียงพอ ผู้เสียหายควรมีหลักฐานที่ชัดเจน เช่น
หลักฐานทางเอกสาร
-บันทึกเหตุการณ์หรือใบแจ้งความ (ถ้ามี)
-ใบรับรองแพทย์ (กรณีบาดเจ็บ)
-เอกสารประเมินค่าความเสียหาย เช่น ค่าซ่อมแซมทรัพย์สิน ค่าเสียโอกาส
หลักฐานทางกายภาพ
-ภาพถ่าย/วิดีโอของเหตุการณ์ ความเสียหาย หรือสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
-หลักฐานทางดิจิทัล เช่น ข้อความแชต โพสต์บนโซเชียลมีเดีย
พยานบุคคล
-บุคคลที่เห็นเหตุการณ์หรือสามารถให้การยืนยันข้อเท็จจริง
3.1 เตรียมคำฟ้อง
คำฟ้องต้องระบุข้อมูลดังนี้
-รายละเอียดของ ผู้ฟ้อง (โจทก์) และ ผู้ถูกฟ้อง (จำเลย)
-ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำละเมิด
-ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
-จำนวนเงินค่าเสียหายที่เรียกร้อง
3.2 ยื่นฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
-ศาลแพ่ง (หากมูลค่าคดีเกิน 300,000 บาท)
-ศาลแขวง (หากมูลค่าคดีไม่เกิน 300,000 บาท)
-ศาลเยาวชนและครอบครัว (กรณีที่คู่กรณีเป็นเยาวชน)
4.1 การไกล่เกลี่ย (ถ้ามี)
ก่อนการพิจารณาคดี ศาลอาจจัดให้มีการ ไกล่เกลี่ย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายหาทางออกโดยไม่ต้องสู้คดีในศาล
4.2 การพิจารณาคดี
-โจทก์ (ผู้ฟ้อง) แถลงข้อเท็จจริงและนำพยานหลักฐานเข้าสู่ศาล
-จำเลย (ผู้ถูกฟ้อง) ให้การแก้ต่างและนำหลักฐานมาหักล้าง
-ศาลไต่สวนพยานทั้งสองฝ่าย
4.3 การตัดสินคดี
-หากศาลพิจารณาว่าผู้ถูกฟ้องกระทำละเมิดจริง ต้องจ่ายค่าเสียหายตามที่ศาลสั่ง
-หากศาลตัดสินยกฟ้อง โจทก์อาจยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้
หากศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์สามารถขอให้ศาล บังคับคดี ได้ เช่น
-อายัดทรัพย์สินของจำเลย
-ยึดทรัพย์และนำออกขายทอดตลาด
1. สิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย – ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องให้ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
2. สิทธิในการขอให้ศาลคุ้มครอง – หากคดีละเมิดกระทบต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน ศาลอาจมีคำสั่งให้หยุดการกระทำละเมิด
3. สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน – รวมถึงค่าเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ค่าชดเชยทางจิตใจ
4. สิทธิในการฟ้องคดีอาญาควบคู่ – หากเป็นการละเมิดที่มีความผิดทางอาญา เช่น ทำร้ายร่างกาย สามารถดำเนินคดีอาญาร่วมกับคดีแพ่งได้
1. ค่าเสียหายเพื่อการเยียวยา – ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมทรัพย์สิน ค่าเสียโอกาส
2. ค่าเสียหายทางจิตใจ – กรณีถูกหมิ่นประมาทหรือได้รับผลกระทบทางอารมณ์
3. ค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) – กรณีผู้กระทำผิดมีเจตนาละเมิดอย่างร้ายแรง
-คดีละเมิดบางประเภทมีอายุความ เช่น คดีละเมิดทั่วไปต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิด
-การเจรจาไกล่เกลี่ยอาจช่วยให้ได้รับค่าเสียหายเร็วขึ้น โดยไม่ต้องขึ้นศาล
-การฟ้องร้องต้องเตรียมค่าใช้จ่าย เช่น ค่าธรรมเนียมศาล ค่าทนายความ
ข้อมูลอ้างอิง
ศาลเยาวชนและครอบครัว
กระทรวงยุติธรรม