Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ประเภทและขนาดของบริษัท

Posted By Kung_nadthanan | 02 ก.พ. 68
382 Views

  Favorite

 

การเข้าใจประเภทของบริษัท เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทต้องมีสถานะเป็น นิติบุคคล และมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินกิจการได้ตามข้อกำหนดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

ประเภทของบริษัท

บริษัทสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามโครงสร้างการบริหารและความรับผิดชอบของเจ้าของกิจการ โดยทั่วไปบริษัทสามารถจำแนกได้เป็น 6 ประเภทหลัก ดังนี้

1. บริษัทจำกัด (Limited Company - Ltd.)

เป็นรูปแบบธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีโครงสร้างที่ช่วยจำกัดความรับผิดชอบของเจ้าของบริษัทให้ไม่เกินจำนวนเงินที่ลงทุนไป

ลักษณะสำคัญ

- มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

- ความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นจำกัดอยู่ที่จำนวนเงินที่ลงทุน

- มีสถานะเป็น นิติบุคคล แยกจากเจ้าของ

- ต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

- สามารถเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นเพิ่มเติม

- ต้องจัดทำบัญชีและยื่นภาษีตามกฎหมาย

ตัวอย่าง

- บริษัทเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์

- บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

- บริษัทให้บริการด้านการตลาด

 

2. บริษัทมหาชนจำกัด (Public Company Limited - PCL)

เป็นบริษัทที่สามารถเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้

ลักษณะสำคัญ

- ต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 15 คนขึ้นไป

- ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท

- สามารถระดมทุนจากสาธารณะโดยการขายหุ้น

- ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

- ต้องมีคณะกรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้ง

- มีข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใส

ตัวอย่าง

- บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เช่น PTT, CPALL, SCB

- บริษัทพลังงานขนาดใหญ่

- บริษัทที่ดำเนินธุรกิจระดับประเทศและระดับโลก

 

3. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership - LP)

เป็นการทำธุรกิจที่มีหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ

1. หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด (Limited Partner) - รับผิดชอบเฉพาะเงินลงทุน

2. หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด (General Partner) - รับผิดชอบไม่จำกัด

ลักษณะสำคัญ

- ต้องมีหุ้นส่วนอย่างน้อย 2 คน

- หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดจะรับผิดตามจำนวนเงินที่ลงทุน

- หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดจะต้องรับผิดทั้งหมด

- ต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

- เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการผู้ร่วมทุน

ตัวอย่าง

- กิจการครอบครัวที่ต้องการร่วมทุน

- บริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการนักลงทุน

 

4. ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership)

เป็นธุรกิจที่หุ้นส่วนทุกคนมีความรับผิดร่วมกันแบบไม่จำกัด

ลักษณะสำคัญ

- หุ้นส่วนแต่ละคนต้องรับผิดชอบหนี้สินของธุรกิจเต็มจำนวน

- ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนนิติบุคคล แต่สามารถทำได้

- ไม่มีความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินของบริษัทกับทรัพย์สินส่วนตัวของหุ้นส่วน

- บริหารงานโดยหุ้นส่วนร่วมกัน

- เสี่ยงต่อภาระหนี้สินสูงกว่าบริษัทจำกัด

ตัวอย่าง

- ร้านอาหารที่หุ้นส่วนร่วมลงทุนกัน

- ธุรกิจบริการขนาดเล็ก เช่น ร้านกาแฟ

 

5. บริษัทข้ามชาติ (Multinational Corporation - MNC)

บริษัทที่มีสำนักงานหรือดำเนินกิจการในหลายประเทศ

ลักษณะสำคัญ

- มีสำนักงานหรือโรงงานในประเทศต่างๆ

- มีฐานลูกค้าและแหล่งผลิตสินค้าหลากหลาย

- บริหารจัดการแบบสากลและมีโครงสร้างซับซ้อน

- มีรายได้จากหลายประเทศและต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลายระบบ

ตัวอย่าง

- Apple, Microsoft, Toyota, Unilever

 

6. บริษัทสตาร์ทอัพ (Startup Company)

เป็นบริษัทที่มีการเติบโตสูง ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ

ลักษณะสำคัญ

- เริ่มต้นด้วยไอเดียใหม่ที่แตกต่างจากตลาด

- มักได้รับเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุนหรือ VC

- มีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว

- เน้นเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล

ตัวอย่าง

- FinTech เช่น SCB TechX

- E-commerce เช่น Shopee, Lazada

- AI และ Cloud Services เช่น Google Cloud, AWS

 

 

ขนาดของบริษัท

ตลาดหลักทรัพย์มักกำหนดเกณฑ์รายได้และมูลค่าของบริษัทที่ต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อเข้าจดทะเบียน ขนาดของบริษัทสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่

1. บริษัทขนาดเล็ก (Small Business)

- รายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี

- จำนวนพนักงานน้อยกว่า 50 คน

- ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม SME หรือ Startup

2. บริษัทขนาดกลาง (Medium Enterprise)

- รายได้ระหว่าง 100 - 500 ล้านบาทต่อปี

- จำนวนพนักงานอยู่ระหว่าง 50 - 200 คน

- มักเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูง

3. บริษัทขนาดใหญ่ (Large Corporation)

- รายได้มากกว่า 500 ล้านบาทต่อปี

- จำนวนพนักงานมากกว่า 200 คน

- มีโอกาสเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ง่ายกว่าธุรกิจขนาดเล็กและกลาง

 

เกณฑ์รายได้และมูลค่าของบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์

การเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับ รายได้ กำไรสุทธิ และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่แตกต่างกัน ซึ่งบริษัทต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด

1. เกณฑ์รายได้และมูลค่าของบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นตลาดสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการมั่นคง ซึ่งบริษัทสามารถเลือกใช้ 2 เกณฑ์หลัก ในการเข้าจดทะเบียน ได้แก่

- เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)

- เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test)

1.1 เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test) เกณฑ์นี้กำหนดให้บริษัทต้องมีผลกำไรที่มั่นคงและต่อเนื่อง

 

1.2 เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test)  เกณฑ์นี้ใช้สำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูง แม้ว่าจะยังไม่มีกำไรที่แน่นอน

 

2. เกณฑ์รายได้และมูลค่าของบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

ตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นตลาดที่เหมาะสำหรับ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยกำหนดเงื่อนไข 2 เกณฑ์หลัก เช่นเดียวกับ SET ได้แก่

- เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)

- เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test)

2.1 เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)  

 

 

2.2 เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test)

 

3. ความแตกต่างระหว่างเกณฑ์ของ SET และ mai

 

ข้อควรพิจารณาก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ข้อดีของการเข้าตลาดหลักทรัพย์

- สามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้น ผ่านการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชน (IPO)

- เพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัท เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล

- เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ ด้วยการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากนักลงทุน

- เพิ่มสภาพคล่องของหุ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น

ข้อเสียของการเข้าตลาดหลักทรัพย์

- ต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าธรรมเนียมและค่าบริหารจัดการ

- ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน ซึ่งอาจกระทบต่อการแข่งขันทางธุรกิจ

- การบริหารต้องเป็นไปตามมาตรฐานสูง เช่น มีคณะกรรมการอิสระและระบบกำกับดูแลกิจการ

 

การทำความเข้าใจ ประเภทของบริษัท และขนาดของบริษัท เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่ต้องการขยายธุรกิจหรือนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุนและสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว

หากคุณต้องการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน ควรศึกษาข้อกำหนดต่างๆ อย่างละเอียดและขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

 

ข้อมูลอ้างอิง

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow