การเข้าใจประเภทของบริษัท เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทต้องมีสถานะเป็น นิติบุคคล และมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินกิจการได้ตามข้อกำหนดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
บริษัทสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามโครงสร้างการบริหารและความรับผิดชอบของเจ้าของกิจการ โดยทั่วไปบริษัทสามารถจำแนกได้เป็น 6 ประเภทหลัก ดังนี้
เป็นรูปแบบธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีโครงสร้างที่ช่วยจำกัดความรับผิดชอบของเจ้าของบริษัทให้ไม่เกินจำนวนเงินที่ลงทุนไป
ลักษณะสำคัญ
- มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
- ความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นจำกัดอยู่ที่จำนวนเงินที่ลงทุน
- มีสถานะเป็น นิติบุคคล แยกจากเจ้าของ
- ต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- สามารถเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นเพิ่มเติม
- ต้องจัดทำบัญชีและยื่นภาษีตามกฎหมาย
ตัวอย่าง
- บริษัทเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์
- บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค
- บริษัทให้บริการด้านการตลาด
เป็นบริษัทที่สามารถเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
ลักษณะสำคัญ
- ต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 15 คนขึ้นไป
- ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท
- สามารถระดมทุนจากสาธารณะโดยการขายหุ้น
- ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
- ต้องมีคณะกรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้ง
- มีข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใส
ตัวอย่าง
- บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เช่น PTT, CPALL, SCB
- บริษัทพลังงานขนาดใหญ่
- บริษัทที่ดำเนินธุรกิจระดับประเทศและระดับโลก
เป็นการทำธุรกิจที่มีหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ
1. หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด (Limited Partner) - รับผิดชอบเฉพาะเงินลงทุน
2. หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด (General Partner) - รับผิดชอบไม่จำกัด
ลักษณะสำคัญ
- ต้องมีหุ้นส่วนอย่างน้อย 2 คน
- หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดจะรับผิดตามจำนวนเงินที่ลงทุน
- หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดจะต้องรับผิดทั้งหมด
- ต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการผู้ร่วมทุน
ตัวอย่าง
- กิจการครอบครัวที่ต้องการร่วมทุน
- บริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการนักลงทุน
เป็นธุรกิจที่หุ้นส่วนทุกคนมีความรับผิดร่วมกันแบบไม่จำกัด
ลักษณะสำคัญ
- หุ้นส่วนแต่ละคนต้องรับผิดชอบหนี้สินของธุรกิจเต็มจำนวน
- ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนนิติบุคคล แต่สามารถทำได้
- ไม่มีความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินของบริษัทกับทรัพย์สินส่วนตัวของหุ้นส่วน
- บริหารงานโดยหุ้นส่วนร่วมกัน
- เสี่ยงต่อภาระหนี้สินสูงกว่าบริษัทจำกัด
ตัวอย่าง
- ร้านอาหารที่หุ้นส่วนร่วมลงทุนกัน
- ธุรกิจบริการขนาดเล็ก เช่น ร้านกาแฟ
บริษัทที่มีสำนักงานหรือดำเนินกิจการในหลายประเทศ
ลักษณะสำคัญ
- มีสำนักงานหรือโรงงานในประเทศต่างๆ
- มีฐานลูกค้าและแหล่งผลิตสินค้าหลากหลาย
- บริหารจัดการแบบสากลและมีโครงสร้างซับซ้อน
- มีรายได้จากหลายประเทศและต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลายระบบ
ตัวอย่าง
- Apple, Microsoft, Toyota, Unilever
เป็นบริษัทที่มีการเติบโตสูง ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ
ลักษณะสำคัญ
- เริ่มต้นด้วยไอเดียใหม่ที่แตกต่างจากตลาด
- มักได้รับเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุนหรือ VC
- มีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว
- เน้นเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล
ตัวอย่าง
- FinTech เช่น SCB TechX
- E-commerce เช่น Shopee, Lazada
- AI และ Cloud Services เช่น Google Cloud, AWS
ตลาดหลักทรัพย์มักกำหนดเกณฑ์รายได้และมูลค่าของบริษัทที่ต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อเข้าจดทะเบียน ขนาดของบริษัทสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่
- รายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี
- จำนวนพนักงานน้อยกว่า 50 คน
- ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม SME หรือ Startup
- รายได้ระหว่าง 100 - 500 ล้านบาทต่อปี
- จำนวนพนักงานอยู่ระหว่าง 50 - 200 คน
- มักเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูง
- รายได้มากกว่า 500 ล้านบาทต่อปี
- จำนวนพนักงานมากกว่า 200 คน
- มีโอกาสเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ง่ายกว่าธุรกิจขนาดเล็กและกลาง
การเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับ รายได้ กำไรสุทธิ และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่แตกต่างกัน ซึ่งบริษัทต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นตลาดสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการมั่นคง ซึ่งบริษัทสามารถเลือกใช้ 2 เกณฑ์หลัก ในการเข้าจดทะเบียน ได้แก่
- เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)
- เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test)
1.1 เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test) เกณฑ์นี้กำหนดให้บริษัทต้องมีผลกำไรที่มั่นคงและต่อเนื่อง
1.2 เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test) เกณฑ์นี้ใช้สำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูง แม้ว่าจะยังไม่มีกำไรที่แน่นอน
ตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นตลาดที่เหมาะสำหรับ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยกำหนดเงื่อนไข 2 เกณฑ์หลัก เช่นเดียวกับ SET ได้แก่
- เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)
- เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test)
2.1 เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)
2.2 เกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Test)
ข้อดีของการเข้าตลาดหลักทรัพย์
- สามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้น ผ่านการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชน (IPO)
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัท เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล
- เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ ด้วยการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากนักลงทุน
- เพิ่มสภาพคล่องของหุ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น
ข้อเสียของการเข้าตลาดหลักทรัพย์
- ต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าธรรมเนียมและค่าบริหารจัดการ
- ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน ซึ่งอาจกระทบต่อการแข่งขันทางธุรกิจ
- การบริหารต้องเป็นไปตามมาตรฐานสูง เช่น มีคณะกรรมการอิสระและระบบกำกับดูแลกิจการ
ข้อมูลอ้างอิง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า