Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การประเมินมูลค่าบริษัท: ทำไมถึงสำคัญก่อนการเข้าตลาดหุ้น?

Posted By Kung_nadthanan | 30 ม.ค. 68
312 Views

  Favorite

 

การประเมินมูลค่าบริษัท เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการ เข้าตลาดหุ้น (Initial Public Offering หรือ IPO) เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยกำหนดราคาหุ้นที่เหมาะสมและแสดงถึงศักยภาพของธุรกิจในสายตานักลงทุน บทความนี้จะอธิบายถึง การประเมินมูลค่าบริษัท, ความสำคัญของการประเมินมูลค่า และวิธีดำเนินการ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนเข้าใจบทบาทของกระบวนการนี้ในตลาดทุน

การประเมินมูลค่าบริษัทคืออะไร?

การประเมินมูลค่าบริษัท (Business Valuation) คือ กระบวนการวิเคราะห์และคำนวณมูลค่าของธุรกิจในปัจจุบัน โดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับผลประกอบการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบริษัท  การประเมินมูลค่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของกิจการ นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุน การซื้อขายธุรกิจ หรือการระดมทุนได้อย่างเหมาะสม

การประเมินมูลค่ามีบทบาทสำคัญในหลายกรณี:

-การกำหนดราคาหุ้นในการเข้าตลาดหุ้น

-การเจรจาซื้อขายธุรกิจ

-การประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน

 

วัตถุประสงค์ของการประเมินมูลค่าบริษัท

1. การเข้าตลาดหุ้น (IPO):  การประเมินมูลค่าเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดราคาหุ้นสำหรับการเสนอขายต่อสาธารณชน (Initial Public Offering หรือ IPO)

2. การซื้อขายธุรกิจ (Mergers & Acquisitions):  การเจรจาในการซื้อขายหรือควบรวมกิจการต้องอาศัยข้อมูลจากการประเมินมูลค่า เพื่อกำหนดราคาที่เหมาะสมสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

3. การระดมทุนจากนักลงทุน:  นักลงทุนมักพิจารณามูลค่าบริษัทเพื่อประเมินความคุ้มค่าในการลงทุน

4. การวางแผนภาษีและการบริหารทรัพย์สิน:  การประเมินมูลค่าช่วยในการคำนวณภาษีมรดก หรือการจัดการทรัพย์สินของบริษัท

5. การปรับโครงสร้างองค์กร:  เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ การแยกกิจการ หรือการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงิน

 

 

องค์ประกอบสำคัญในการประเมินมูลค่าบริษัท

1. ผลประกอบการและกำไร:  รายได้และกำไรสุทธิเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่แสดงถึงศักยภาพของธุรกิจในการสร้างรายได้

2. ทรัพย์สินและหนี้สิน:  การวิเคราะห์ทรัพย์สินสุทธิ (Net Assets) เช่น ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ และเงินสด รวมถึงการพิจารณาภาระหนี้สิน

3. ศักยภาพการเติบโต:  ศักยภาพของธุรกิจในการขยายตลาดหรือเพิ่มรายได้ในอนาคต

4. กระแสเงินสด (Cash Flow):  การวิเคราะห์กระแสเงินสดในปัจจุบันและการคาดการณ์ในอนาคต เพื่อประเมินความมั่นคงทางการเงิน

5. ปัจจัยทางตลาด:  เช่น แนวโน้มอุตสาหกรรม สภาวะเศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาด

 

เหตุผลที่ต้องประเมินมูลค่าบริษัท

1. การเข้าตลาดหุ้น (IPO):  การประเมินมูลค่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดราคาหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชน

2. การซื้อขายธุรกิจ (Mergers & Acquisitions):  ในการเจรจาซื้อขายหรือควบรวมกิจการ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องการข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับมูลค่าของบริษัทเพื่อสร้างความเป็นธรรมในข้อตกลง

3. การระดมทุน:  นักลงทุนใช้การประเมินมูลค่าเพื่อประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในธุรกิจ

4. การวางแผนทางการเงิน:  การประเมินมูลค่าช่วยในการจัดการทรัพย์สิน วางแผนภาษี และการปรับโครงสร้างองค์กร

5. สร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้น:  การแสดงมูลค่าที่ชัดเจนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน

 

วิธีการประเมินมูลค่าบริษัท

การประเมินมูลค่าบริษัท (Business Valuation) มีหลายวิธี โดยแต่ละวิธีเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจหรือวัตถุประสงค์ในการประเมินที่แตกต่างกัน เช่น การเข้าตลาดหุ้น การซื้อขายกิจการ หรือการระดมทุน ต่อไปนี้คือ วิธีการประเมินมูลค่าบริษัท ที่ได้รับความนิยม

1. วิธีการประเมินมูลค่าจากกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow: DCF)

วิธีการ:

-ใช้กระแสเงินสดในอนาคตที่บริษัทคาดว่าจะสร้างได้ (Future Cash Flow) และคำนวณมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) โดยการใช้ อัตราคิดลด (Discount Rate)

-วิธีนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์กระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ

ขั้นตอน:

1. คาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคต (เช่น 5-10 ปี)

2. เลือกอัตราคิดลดที่เหมาะสม (เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรือต้นทุนเงินทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก - WACC)

3. คำนวณมูลค่าปัจจุบันโดยใช้สูตร:

-PVPVPV: มูลค่าปัจจุบัน

-CFtCF_tCFt​: กระแสเงินสดในปีที่ ttt

-rrr: อัตราคิดลด

-TVTVTV: มูลค่าคงเหลือ (Terminal Value)

ข้อดี:

-ช่วยให้เห็นมูลค่าของบริษัทที่สะท้อนศักยภาพในอนาคต

-ใช้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงกับบริษัท

ข้อจำกัด:

-ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและสมมติฐานที่สมเหตุสมผล

-ไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีรายได้ไม่แน่นอน

 

2. วิธีการเปรียบเทียบตลาด (Market Comparison Approach)

วิธีการ:

เปรียบเทียบมูลค่าของบริษัทกับบริษัทอื่นที่มีลักษณะธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน โดยใช้ตัวชี้วัด เช่น:

-P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio): ใช้ราคาหุ้นเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้น

-EV/EBITDA (Enterprise Value to EBITDA): ใช้มูลค่ากิจการ (EV) เปรียบเทียบกับกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย

ขั้นตอน:

1. ค้นหาบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน

2. คำนวณตัวชี้วัด เช่น P/E หรือ EV/EBITDA ของบริษัทที่เปรียบเทียบ

3. ใช้ค่าเฉลี่ยของตัวชี้วัดเพื่อประเมินมูลค่าบริษัทเป้าหมาย

ข้อดี:

ง่ายต่อการคำนวณเมื่อมีข้อมูลเปรียบเทียบ

เหมาะสำหรับธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานการประเมิน

ข้อจำกัด:

ขึ้นอยู่กับความแม่นยำของข้อมูลเปรียบเทียบ

ไม่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ไม่มีคู่เปรียบเทียบในตลาด

 

3. วิธีการประเมินมูลค่าจากทรัพย์สิน (Asset-Based Valuation)

วิธีการ:

คำนวณมูลค่าจากสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท หักด้วยหนี้สินที่คงค้าง

เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีทรัพย์สินมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจการผลิต

ขั้นตอน:

ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Assets) เช่น ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์

ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) เช่น ลิขสิทธิ์ หรือชื่อเสียงแบรนด์

หักมูลค่าหนี้สินรวมออกจากสินทรัพย์รวม

ข้อดี:

เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีสินทรัพย์เป็นตัวขับเคลื่อนมูลค่า

คำนวณง่ายหากข้อมูลสินทรัพย์พร้อม

ข้อจำกัด:

ไม่สะท้อนศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ

อาจประเมินมูลค่าต่ำสำหรับธุรกิจที่อิงรายได้ในอนาคต

 

4. วิธีการประเมินมูลค่าจากรายได้ (Income Approach)

วิธีการ:

ใช้รายได้สุทธิของบริษัทคูณด้วยตัวคูณ (Multiplier) เพื่อหาโอกาสในการสร้างรายได้ในอนาคต

เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายได้มั่นคง

ขั้นตอน:

คำนวณรายได้สุทธิ (Net Income) หรือรายได้ที่เกิดขึ้นประจำ

ใช้ตัวคูณที่เหมาะสม (เช่น ตัวคูณเฉลี่ยในอุตสาหกรรม)

ข้อดี:

ใช้งานง่ายและรวดเร็ว

เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายได้คงที่

ข้อจำกัด:

ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงหรือศักยภาพในอนาคต

อาจไม่เหมาะกับธุรกิจที่รายได้เปลี่ยนแปลงบ่อย

 

5. วิธีการมูลค่าคงเหลือ (Residual Value Approach)

วิธีการ:

ใช้คำนวณมูลค่าที่คงเหลือเมื่อธุรกิจไม่มีการเติบโตอีกต่อไป

มักใช้ร่วมกับวิธี DCF เพื่อประเมินมูลค่าธุรกิจในช่วงสิ้นสุด

 

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการประเมินมูลค่าบริษัท

1. ผลประกอบการทางการเงิน  รายได้ กำไร และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัท

2. ศักยภาพการเติบโตในอนาคต  บริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูงมักได้รับการประเมินมูลค่าที่สูงกว่า

3. สถานการณ์อุตสาหกรรมและตลาด  แนวโน้มของอุตสาหกรรมและสถานการณ์ตลาดส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของบริษัท

4. ความเสี่ยงและความมั่นคงทางการเงิน  บริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำและความมั่นคงทางการเงินสูงมักได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

5. ทีมผู้บริหารและการบริหารจัดการ  ความสามารถของผู้บริหารและความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจมีผลต่อมูลค่าของบริษัท

 

ตัวอย่างสถานการณ์ที่การประเมินมูลค่าบริษัทมีบทบาทสำคัญ

1. การเข้าตลาดหุ้น (IPO):  การกำหนดราคาหุ้นที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุนและสร้างความน่าสนใจในตลาด

2. การซื้อขายกิจการ (Mergers & Acquisitions):  ผู้ซื้อและผู้ขายใช้การประเมินมูลค่าในการเจรจาเพื่อกำหนดราคาที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขาย

3. การระดมทุนจากนักลงทุน:  นักลงทุนมักพิจารณามูลค่าของบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ความสำคัญของการประเมินมูลค่าบริษัท

การประเมินมูลค่าบริษัท (Business Valuation) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยกำหนดมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ โดยมีบทบาทสำคัญในหลากหลายด้าน ตั้งแต่การระดมทุน การเข้าตลาดหุ้น การซื้อขายกิจการ ไปจนถึงการตัดสินใจทางการเงินในระดับองค์กร การเข้าใจถึงความสำคัญของการประเมินมูลค่าช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในระยะยาว

1. สนับสนุนการตัดสินใจด้านการลงทุน

การประเมินมูลค่าบริษัทช่วยให้นักลงทุนและเจ้าของกิจการสามารถ:

-ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน: รู้ว่าการลงทุนในธุรกิจจะให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมหรือไม่

-เปรียบเทียบกับโอกาสอื่น: เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงสุด

2. การกำหนดราคาหุ้นและการระดมทุน

-ในการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) การประเมินมูลค่าช่วยกำหนดราคาหุ้นที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนศักยภาพและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ

-ดึงดูดนักลงทุน: ราคาหุ้นที่สมเหตุสมผลสร้างความมั่นใจและดึงดูดนักลงทุน

3. การเจรจาซื้อขายหรือควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)

-การประเมินมูลค่าที่แม่นยำช่วยสร้างความยุติธรรมในการเจรจาซื้อขายหรือควบรวมกิจการ

-ช่วยให้ทั้งฝ่ายผู้ซื้อและผู้ขายเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ

-ป้องกันการจ่ายเงินเกินมูลค่าจริง หรือการตั้งราคาขายต่ำเกินไป

4. การวางแผนภาษีและการบริหารทรัพย์สิน

-การประเมินมูลค่าช่วยในการวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบริษัท เช่น การคำนวณภาษีมรดกหรือภาษีที่เกิดจากการโอนทรัพย์สิน

-การจัดการทรัพย์สิน: สร้างแผนการบริหารทรัพย์สินที่เหมาะสมกับเป้าหมายของธุรกิจ

5. การสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน

-การมีข้อมูลมูลค่าบริษัทที่ชัดเจนช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับผู้ถือหุ้น

-ผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบว่าการตัดสินใจของบริษัทสอดคล้องกับมูลค่าของธุรกิจหรือไม่

6. การวางแผนและกำหนดกลยุทธ์องค์กร

-การขยายธุรกิจ: มูลค่าที่ประเมินช่วยให้บริษัทสามารถกำหนดเป้าหมายการเติบโตและกลยุทธ์ที่เหมาะสม

-การปรับโครงสร้างองค์กร: ใช้ข้อมูลมูลค่าเพื่อปรับปรุงโครงสร้างการเงินหรือการบริหารธุรกิจ

7. การประเมินศักยภาพการเติบโตในอนาคต

-การประเมินมูลค่าช่วยสะท้อนโอกาสการเติบโตและศักยภาพในอนาคตของธุรกิจ

-นักลงทุนและผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนระยะยาว เช่น การเข้าสู่ตลาดใหม่ หรือการลงทุนในเทคโนโลยี

8. การบริหารความเสี่ยง

การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความผันผวนของตลาด และความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม ช่วยให้บริษัทสามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม

9. การตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงาน

-การประเมินมูลค่าช่วยวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจในช่วงเวลาที่ผ่านมา

-ช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงจุดอ่อนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

10. สร้างความได้เปรียบในตลาดทุน

-บริษัทที่มีการประเมินมูลค่าที่ถูกต้องและโปร่งใสมักได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากกว่า

-ดึงดูดพันธมิตรทางธุรกิจ: มูลค่าที่ชัดเจนช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

 

ข้อควรระวังในการประเมินมูลค่าบริษัท

1. การคาดการณ์ที่ไม่สมจริง:  การตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับรายได้หรือการเติบโตที่เกินจริงอาจทำให้มูลค่าที่ประเมินไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

2. การใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม:  การเลือกวิธีการประเมินที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจอาจส่งผลต่อความแม่นยำ

3. ความไม่แน่นอนของตลาด:  การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจหรือปัจจัยภายนอกอาจส่งผลต่อมูลค่าของบริษัท

 

การประเมินมูลค่าบริษัท เป็นกระบวนการสำคัญในการกำหนดราคาหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการ เข้าตลาดหุ้น การประเมินที่ถูกต้องช่วยสะท้อนศักยภาพของธุรกิจ เพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน และส่งเสริมความสำเร็จในการระดมทุนในระยะยาว เจ้าของกิจการควรให้ความสำคัญกับการเลือกวิธีการประเมินที่เหมาะสมและการจัดทำข้อมูลที่โปร่งใส เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดทุน

 

ข้อมูลอ้างอิง

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow